วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กว้างหรือแคบแค่ใจเห็น

0 ความคิดเห็น
'หนุ่มเมืองจันท์' เป็นอีกท่านหนึ่งที่ผมติดตามหนังสือและบทความของท่านอยู่เป็นระยะ ระยะ แม้ว่าจะไม่ใช่หนังสือแนวHOW TO แต่เนื้อหา ล้วนสร้างแรงบันดาลใจ ไม่ต่างจากหนังสือHOW TO ที่โด่งดังระดับโลกเลยครับ  นอกจากแรงบันดาลใจแล้วยังได้ความรู้เชิงลึกของการทำธุรกิจอีกด้วย เนื่องจากบทความทุกบทความของ 'หนุ่มเมืองจันท์' ล้วนกลั่นออกมาจากประสบการณ์ที่ได้จากการสัมภาษณ์นักธุรกิจระดับแนวหน้าของประเทศไทย

 แม้มีหลายเรื่องที่ผมประทับใจตรึงดวงจิตผม แต่ผมเองไม่อาจเล่าเรื่องทั้งหมดได้ จึงของนำเสนอเล่มที่ผมประทับใจและเป็นเล่มแรกที่ผมอ่านของหนุ่มเมืองจันท์ ชื่อเล่มว่า คำถามสำคัญกว่าคำตอบ

 บทความหรือเรื่องที่ประทับใจในเล่มนี้หรือ "แคบ" หรือ "กว้าง" ส่วนหนึ่งที่ประทับใจเรื่องนี้เพราะมีเพื่อนผมที่เป็นทันตแพทย์ เขาเคยพูดกับผมว่าอาชีพทันตแพทย์เป็นอาชีพที่ทำงานละเอียดมาก มากระดับไหน ผมขอนำบทความ บางส่วนของท่าน หนุ่มเมืองจันท์ มาสรุปในแบบของผมนะครับ

"เหียโต้ง" บอกว่า อาชีพทันตแพทย์นั้นสามารถมองได้ทั้งแคบและกว้าง
ถ้ามองแคบก็แคบระดับ มิลลิเมตร
เพราะการทำฟันนั้นต้องมองละเอียดเล็กถึงระดับนี้
ฟันแต่ละซี่ที่ผุนั้นมีขนาดแค่ มิลลิเมตร

หรือถ้าจะมองกว้างกว่านั้น เหียโต้ง ยกตัวอย่างคนแก่ที่ฟันหลุดหมดปาก 
ถ้ามองแค่เรื่องการกินอาหาร
ไม่มีฟันก็สามารถดูดอาหารเหลวได้
แต่ ฟัน นั้นยังหมายถึงการบดเคี้ยว
การเคี้ยวจะทำให้เลือดไปเลี้ยงที่สมอง
ถ้าไม่มีการบดเคี้ยวคนแก่มีสิทธิ์เป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ง่าย

ดังนั้นการใส่ฟันปลอมให้คนแก่จึงมีความจำเป็น 

หรือจะมองกว้างกว่านั้น แทนที่จะรักษาฟันเป็นคนๆ(คิดว่าคงหมายถึงการเปิดคลีนิค)
ทันตแพทย์สามารถรณรงค์ให้คนรักษาสุขภาพฟัน เช่น ไม่กินหวาน
ทันตแพทย์ก็ช่วยสุขภาพฟันของสังคมได้มาก


ทั้งหมดคือมุมมองต่อโลก
โลกใบนี้มีตำแหน่งที่เราจะเลือกยืนได้หลายจุด
จะยืนจุดที่แคบหรือกว้าง

และโลกไม่เคยหยุดนิ่ง เช่นเดียวกันตำแหน่งที่ยืนก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เดิมตลอดกาล
วันหนึ่งเราอาจยืนอยู่จุดที่แคบ
เมื่อวันใดที่พร้อม เราก็สามารถเปลี่ยนไปยืนในตำแหน่งที่มองอะไรกว้างขึ้นได้

ท้ายที่สุดแล้วตำแหน่งที่ยืน ไม่สำคัญเท่ากับตำแหน่งในใจ


Read more ►

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

The World is Flat

0 ความคิดเห็น
 หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้หนังสือ HOW TO เล่มไหนๆก็คือ หนังสือเรื่อง  The World is Flat เขียนโดย  Thomas L. Friedman สำหรับผมจัดเป็นหนังสือHOW TO แนวการให้แง่คิดในการพัฒนาตนเอง คือ สรุปสั้นๆง่ายๆว่าเราจะพัฒนาตัวเองให้เก่งเฉพาะในท้องถิ่นเรา หรือเก่งแค่ในประเทศไม่ได้แล้ว เราต้องเก่งเป็นที่ 1 ในโลก  เพราะทุกวันนี้เราทำงานผ่านอินเตอร์เน็ตสื่อสารกันได้ทั่วโลก ผมขอนฃสรุปประเด็นสำคัญๆในหนังสือดังนี้ครับ

  ประเด็นที่ 1 ความหมายของ  The World is Flat  ผู้เขียนอธิบายว่า   ในป  ค . ศ . 1492 เม ื่อ  Christopher  Columbus ออกเดินเรือเพื่อหาเสนทางไปทวีปอินเดีย   แต่ด้วยความบังเอิญเกิดความผิดพลาดระหว่างการเดินเรื่อน ทำให้ได้พบทวีปอเมริกา  ทำให้ Columbus  สรุปว่าโลกกลม แต่ในยุคโลกาภิวัฒน์ ณ ตอนนี้อินเดียเป็นศูนย์กลาง  Business Process Outsourcing (BPO) คือให้บริการต่าง ๆ  เช่นเขียนน  Software  กรอกแบบภาษี  วิเคราะหผล   X-ray  ติดตามกระเป๋าเด ินทางที่สูญหายใหแก่สายการบิน โดยให้บริการแก่บริษัทต่างๆ ทั่วโลกผานทาง  Internet  สวนประเทศจีนก็มีแรงงานที่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นหลายพันคนที่กำลัีงให้บริการ BPO  แก่ บริษัทต่าง ๆ  ของประเทศญี่ปุ่นหรือในประเทศจีนเองที่มีโรงงานหรือบริษัทเล็กๆที่ผลิตรูปปั้นVirgin of Guadalupeที่ชาวเม็กซิกันนับถือและก้มีวางขายเฉพาะืั้ประเทศเม็กซิโก สรุปคือเราทุกคนเราต้องเผญิชหน้ากันภายใต้สิ่งแวดล้อมเดียวกัน  (level playing field)


ประเด็นที่ 2 กระแสโลกาภิวัตน์ที่ผ่านมาในประวัติศาสตรมี 3  ช่วง                                     ได้แก่ (1) Globalization-1.0   เริ่มจากป 1942 มีกลไกการเปลี่ยนแปลงคือประเทศตะวันตก  เช่น   สเปนและอังกฤษที่เดินทางแสวงหาอาณานิคม   ทําใหโลกเสมือนลดขนาดลงจากขนาดใหญเป็นขนาดกลาง  (2)  Globalization-2.0  เริ่มจากป 1800 โดยกลไกคือบริษัทข้ามชาติที่แสวงหาตลาดและแรงงานในโลกตะว ันออก   ทําใหโลกเสมือนลดจากขนาดกลางเปนขนาดเล็ก  (3)
Globalization-3.0  เริ่มจากป 2000 ที่เทคโนโลยีสารสนเทศทำใหโลกเสมือนลดจากขนาดเล็กเปนขนาดจิ๋ว   โดยกลไกคือคนทุกคนและทุกกลุมสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี (plug and play)  และร่วมในกระแสโลกาภิวัตน์นี้ได โดยไม่จ ําก ัดเฉพาะชาวโลกตะวันตกอีกตอไป 

ประเด็นที่ 3 เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้โลกแบนได้แก่ 
(1)   11/9/89  The wall came down and Windows came up .   วันที่ 9  พฤศจ ิกายน   ค . ศ . 1989 (11/9) กำแพงเบอร์ลินถูกทำลาย  ซึ่งเป็นการเริ่มต้นสิ่งที่เรียกว่าโลกไร้พรมแดน และหลังจากนั้น 5 เดือน โปรแกรม Windows 3.0 เริ่มวางตลาด
 (2)   8/9/95  People to people connectivity   วันท ี่ 9  สิงหาคม   ค . ศ . 1995 บร ิษัท  Netscape  เข้าเปนบริษัทมหาชน  ซึ่งทำให้เกิดสิ่งส ําค ัญ  3  เร ื่อง
1) มี browser  ที่ทําใหการใช  Internet  เกิดเปนที่นิยมทั่วโลกทําใหมีมาตรฐานที่การติดตอสื่อสารและเชื่อมโยงกันระหว่างผูใชคอมพิวเตอร์ระบบตางๆ เกิดขึ้นได
3) เกิดกระแส Dot-Com boom  จนเกิดการลงทุนในการวางสาย Fiber Optic  มูลค่าประมาณ  1  ลานลานเหรียญ   ซึ่งทำให้เกิดการสื่อสารไดทั่วโลกโดยต้นทุนการส่งเอกสาร   เพลง   หรือข อมูลลดลงออย่างมหาศาล
(3)   Work Flow Software (Application to application connectivity)  การที่มีมาตรฐานและการเชื่อมโยง ให้เกิดการสื่อสารกันได้ระหว่างผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่างกัน และโปรแกรมต่างกันได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงาน (work  flow)   อย่างมาก การแบ่งปันข้อมูล ความรู้ และการร่วมงานกันเกิดขึ้นระหว่างคนที่อยู่ต่างสถานที่ ต่างเวลา อย่างไม่เคยมีมาก่อน ในประวัติศาตร์ทั้งสามโลก
 (4)   Open-sourcing  เช นการเปดใหใช โปรแกรม  Linux  ฟรีแก่คนทั่วไปทำให้เกิดรูปแบบใหม่ในการสร้างสรรค์ (new industrial model of creation)  และการร่วมงานกัน   เช น  น ักศ ึกษาอายุ 19 ป ของมหาว ิทยาล ัย  Stanfordประเทศสหรัฐอเมร ิการวมกับน ักศ ึกษาอายุ 24 ป   ในประเทศ  New  Zealand  พัฒนาโปรแกรม Firefox  WebBrowser  โดยไม เคยพบต ัวก ันเลย   และโปรแกรมได ม ีผ ู download  ไปใช แล วกวา  10 ลานคน

ทั้งหมดนี้เป นป จจ ัยท ี่ทําใหโลกแบนข ึ้นและเรียกปจจ ัยเหล าน ี้วา  “flatteners”



Read more ►

ปลุกปีศาจในตัวคุณ

0 ความคิดเห็น

หนังสือเรื่อง Evil Plan หรือ ปลุกปีศาจในตัวคุณ จัดเป็นหนังสือแนว HOW TO อีกเล่มที่น่าสนใจ เป็นหนังสือ HOW TO ที่เขียนได้เร้าอารมณ์มากกว่าหนังสือHOW TO เล่มไหนๆที่ผมเคยอ่านมาก็ว่าได้ครับ หนังสือHOW TO เล่มนี้ เขียนโดย Hugh MacLeod สำหรับผมแล้วผมชอบอ่านหนังสือ HOW TO มากเลยนะครับ อ่านแล้วเกิดความรู้สึกกระตือรือร้นอยากประสบความสำเร็จ แต่หนังสือHOW TO แต่ละเล่ม แต่ละผู้เขียน จะมีทั้งส่วนที่เหมือนกันและต่างกัน แต่ทุกๆเล่มจะมีทั้งบทที่อ่านแล้วน่าเบื่อ กับบทที่อ่านแล้วรู้สึกกินใจ ในหนังสือ ปลุกปีศาจในตัวคุณ มีอยู่บทหนึ่งที่ผมชอบมาก ชื่อว่า “ความสำเร็จยุ่งยากกว่าความล้มเหลว” จึงขอมาสรุปดังนี้

คนเราทุกคนย่อมอยากประสบความสำเร็จ แต่ทำไมไม่สำเร็จ คำตอบง่ายๆก็คือว่า “มันยุ่งยาก” “ขี้เกียจทำตัวให้เป็นคนประสบความสำเร็จ” เท่านั้นเอง
ทำไมความสำเร็จถึงยุ่งยากกว่าความล้มเหลว ก็เพราะว่า การทำตัวเป็นคนล้มเหลวนั้นง่ายมากๆ ก็แค่คุณตื่นสายๆ  หาอะไรกินนิดหน่อยแล้วกลับมานอนต่อหรือไม่ก็ออกไปเล่นไฮโล หรือดูมวยอยู่ที่บ้าน พร้อมกับจิบเหล้าและดูดบุหรี่ พอตกเย็นก็ไปหาก๊วนมากินเหล้า กินเนื้อ แล้วไปทำบุญกับโคโยตี้ แล้วก็กลับบ้านมาแบบเมาๆ หลับไปอย่างไม่รู้ตัว เท่านี้ชีวิตคุณก็ใกล้กับความเป็นคนล้มเหลวขึ้น โครตง่ายเลย
กลับกันถ้าอยากเป็นคนประสบความสำเร็จ เขาจะทำอะไรที่มันยุ่งยากกว่าหน่อย อย่างเช่น ตื่นเช้าอาจต้องประชุมพร้อมกับทานอาหารเช้า ตอนบ่ายๆอาจต้องรับรองลูกค้า พอมีเวลาว่างก็อ่านหนังสือแนวธุรกิจหรือแนวพัฒนาตนเอง(หนังสือ  HOW TO)ตกเย็นๆก็นั่งอ่านรายงาน จัดการเรื่องซับซ้อนต่างๆมากมาย
จะเห็นได้ว่า การเป็นคนล้มเหลวนั้น ทำแต่เรื่องง่ายๆ ไม่ยุ่งยากอะไรทั้งนั้น
แต่ก็ใช่ว่า คนล้มเหลวจะไม่คิดเรื่องซับซ้อนอย่างคนที่ประสบความสำเร็จเขาทำกัน
คนล้มเหลว บางทีก็ต้องใช้ความคิดในเรื่องซับซ้อนและยุ่งยากอย่างเช่น “จะหาเงินมาจากไหน?” “จะหลอกใครยืมเงินดี?” “เล่นไฮโลจะแทงต่ำหรือสูง หรือแทง หก สี่ เอี่ยว?”
แต่ใช้ว่าชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะยุ่งยากเสมอไป เพราะบางอย่างที่เราเห็นว่ายุ่งยากนั้น สำหรับเขาอาจจะเป็นเรื่องเรียบง่ายมากๆเลยก็ได้ อย่างเช่นการจัดการกับเงินลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟต์ บัฟเฟต์บอกว่า ปกติการที่เขาจะตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อกิจการหลังจากที่เขาได้รับทาบทามให้ ซื้อนั้น เขาใช้เวลาน้อยมาก และเอกสารที่เขาจะดูก็มีแค่งบการเงินกับรายงานประจำปีเท่านั้น
เหตุ ที่ประการหนึ่งที่คนล้มเหลวแตกต่างกับคนที่ประสบความสำเร็จก็คือ คนล้มเหลว ใช้เวลาอย่างไม่คุ้มค่า ไม่ได้วางแผนในชีวิต แต่คนที่ประสบความสำเร็จนั้นต่างกัน นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า “ ข้านำดินแดนที่สูญเสียกลับมาได้เสมอ แต่ไม่เคยนำเวลาที่เสียไปแม้เพียงหนึ่งวินาทีกลับมาได้”
จะเห็นว่า การที่คนเราจะประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้ยากไปกว่าเป็นคนล้มเหลว แค่ดู “ยุ่งยาก” กว่าเท่านั้นเอง และคนโดยมาก ไม่ชอบเรื่อง ยุ่งยาก พูดง่ายๆคือขี้เกียจทำ เลยทำแต่เรื่องง่ายๆ ทั้งๆที่เรื่องที่ดูยุ่งยากในตอนแรก หลังๆอาจจะง่ายก็ได้ ตามประสาของความเคยชินในสิ่งที่ทำ
จงอย่ายอมจำนนต่อความเรียบง่ายและความขี้เกียจ เพราะ “การยอมจำนนจะทำให้คุณตกเป็นเบี้ยล่างไปตลอดชีวิต”

ถ้าอยากเป็นตัวเองจากเบี้ยให้เป็นขุน   ก็ต้องลองทำสิ่งที่ยากๆซับซ้อนแต่เรียบง่ายดูนะครับ แล้วจะทำอะไร บ้าง ผมขอแนะนำดังนี้ครับ 
1.นอนให้ได้วันละ 6 ชั่วโมง คือนอนให้เพียงพอนั้นเองครับ 
2.ออกกำลังกายวันละ 45 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน ออกแบบไหนก็ได้แต่ขอให้ต่อเนื่อง 45 นาที อาจเดิน วิ่ง ทำงานบ้าน ยกเวท ปั่นจักรยาน เล่นบาส เตะบอล  ไม่นับกีฬาประเภทหมากกระดานนะครับ เช่น เล่นไพ่บริดจ์ไม่นับครับ 
3.รับประทานผักและดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ
4.นั่งสมาธิหรือสวดมนต์ตามศาสนาของตนเอง
5.หาหนังสือ HOW TO สักเล่มมาอ่านวันละ 12-20 นาทีครับ 
ทำติดต่อกัน 45 วัน หากชีวิตไม่ดีขึ้น มาหาผมแล้วผมจะเลี้ยงเหล้่าคุณเอง
Read more ►
 

Copyright © ไอเดียชีวิต Design by O Pregador | Blogger Theme by Blogger Template de luxo | Powered by Blogger