วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การอ่านหนังสือให้จำได้เข้าใจด้วย

0 ความคิดเห็น
อันที่จริงผมเองตั้งใจจะอ่านหนัีงสือทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสืออะไรก็ได้  ขอเพียงแค่ได้อ่านหนังสือ วาเหตุที่ผมทำอย่างนั้น เพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ผมชอบดีดลูกแก้วมากกว่าอ่านหนังสือมากๆ  และเมื่อคืนเป็นวันที่ผมไม่ได้อ่านหนังสือ สาเหตุก็เพราะต้องตื่นแต่เช้า ผมจึงเข้านอนเร็วกว่าทุกๆวัน ระหว่างที่ผมนอน(คือนอนยังไม่หลับนะครับ) ผมก็คิดเรื่องการอ่านหนังสือของผมว่าทำไมผมจึงไม่ชอบอ่านหนังสือ และผมจะพัฒนาทักษะการอ่านหนังสือของผมอย่างไร ให้อ่านแล้วเข้าใจ  อ่านแล้วจำได้

ในอดีตที่ผ่านมาปัญหาที่ผมเจอเวลาอ่านหนังสือ คือ อ่านแล้วง่วง ง่วงแล้วก็หลับ
พอหลับแล้วก็ไม่ได้อ่า่นหนังสือ...ซึ่งมันก็แน่อยู่แล้ว
เช้าวันนี้ผมจึงลองค้นหาวิธีที่ผมจะใช้อ่านหนังสือแล้วไม่ง่วง อ่านแล้วเข้าใจ จำได้ขึ้นใจทันที
ผมเคยอ่านบทความหนึ่งชื่อว่าบทความอะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว ...เขาแนะนำว่าการอ่านหนังสือควรใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าคือ หู ตา จมูก ลิ้น  การสัมผัส (แล้วจะทำไงหว่า)

มีอีกเทคนิคหนึ่งถ้าผมจำไม่ผิดคิดค้นจากชาวญี่ปุ่น...เรียกว่าเทคนิค การอ่านหนังสือโดยใช้ปากกา 3 สี
ผมไปอ่านเจอมาครับ ก็ขอดึงส่วนที่สามารถนำไปใช้ได้ทันทีมาบันทึกเก็บไว้อ่านแล้วกันครับ 



"สีน้ำเงิน - ในจุดทั่วๆ ไปที่เราคิดว่าค่อนข้างสำคัญ ซึ่งจุดที่เราขีดสีน้ำเงิน คือที่ๆ ไม่ว่าใครอ่าน ก็จะต้องคิดว่าตรงนี้ค่อนข้างสำคัญเหมือนกันหมด จะขีดมากขีดน้อยยังไงก็ได้ จะขีดจนหมดหน้าเลยก็ได้ แต่ว่าเค้าบอกว่าการขีดเส้นสีน้ำเงิน เมื่อเรากลับมาอ่านดูอีกรอบ จะเหมือนกับการย่อบทความหรือเรื่องที่เราอ่านออกมา คล้ายๆ กับการย่อความนั่นเอง
 สีแดง - ขีดเฉพาะในจุดที่สำคัญมากๆๆๆๆๆๆๆๆ มากจริงๆ ไม่ว่าใครอ่านก็ต้องรู้ว่าตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเราตัดสินได้แบบนั้นค่อยขีด ห้ามขีดเยอะ ให้ขีดได้แค่จุดที่สำคัญมากๆ จริงๆ เท่านั้น
สีเขียว - ขีดเฉพาะที่ๆ เราคิดว่า "น่าสนใจ" สีเขียวนี่เราคิดว่าเป็นจุดที่ประหลาดดี เค้าบอกว่าให้เราใช้ตัวเองเป็นคนตัดสิน ว่าตรงนี้ควรจะขีดสีเขียวหรือไม่ เวลาที่เราอ่านบทความอะไรซักอย่างหนึ่ง จำนวนของสีเขียวช่วยเป็นตัวบอกให้เรารู้ด้วยว่าเราสนใจ หรือว่าชอบบทความนั้นมากขนาดไหน
 
**** จุดที่ขีดเส้นทั้ง 3 สีจะซ้ำกันก็ได้นะ ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าตรงไหนต้องขีดเพียงสีเดียว เมื่อขีดเส้นแล้วก็ให้วงกลมคำที่เป็น Keyword ของเส้นที่เราขีดไปด้วย เอาแค่คีย์เวิร์ดนะ *-* แบบเนี่ย ถ้าหากเราสามารถอ่าน หนังสือ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน เอกสารทำงาน หรือว่าหนังสืออ่านเล่นอะไรก็ตาม แล้วขีดเส้นแบ่งตามนี้ไปด้วยได้ เค้าบอกว่าเราจะเข้าใจในสิ่งที่อ่านไปขึ้นอีกเยอะเลย"


    “การอ่านหนังสือ ควรจะอ่านในสถานที่ที่สงบเงียบ และสมองของเราต้องพร้อมที่จะรับเรื่องใหม่ ๆ นั่นแหละการอ่านถึงจะได้ผลสูงสุด



Read more ►

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฝึกซ้อมทักษะที่ทำให้เกิดความแตกต่าง

0 ความคิดเห็น
เมื่อวานผมได้อ่านหนังสือเรื่อง "เป็นที่ 1 ในธุรกิจของคุณ" เป็นหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับการขายตรง(ในความเห็นผม) มีอยู่ 1 บทในหนังสือเล่มนี้ที่ผมชอบมากเป็นพิเศษคือ ฝึกซ้อมทักษะที่ทำให้แตกต่าง

เรื่องมันมีประมาณนี้ครับ ...
นักกีฬาทุกชนิดเลยนะครับจะต้องทุ่มเทฝึกฝนทักษะที่จำเป็นที่จะทำให้เขาชนะ ยกตัวอย่างนักฟุตบอล ผู้เล่นตำแหน่งปีกซ้ายก็ต้องฝึกทักษะในการโยนลูกให้กับศูนย์หน้าให้แม่นยำ..ยังกับจับวาง
ดังนั้นแล้วก่อนที่จะลงแข่งเกมใหญ่จะต้องทุ่มเท...ฝึกซ้อม...ซ้ำแล้ว..ซ้ำเล่า...เพื่อให้เกิดความแตกต่างกับผู้แข่งครับ

แม้แต่ทีมที่มีแผนการตลาด...แผนกลยุทธ...ที่ล้ำลึกแค่ไหน
แต่หากทีมไม่ได้ท่มเท..ในการฝึกใช้แผน...แบบซ้ำแล้ว..ซ้ำอีก..แผนการตลาดที่ว่าเลิศนั้นคงไร้ค่า

จะเห็นได้ว่าผมเน้นการใช้คำว่าซ้ำแล้ว..ซ้ำเล่า...คือเน้นคำว่าซ้ำมากเป็นพิเศษ
ก็เพราะว่าเคล็ดลับอยู่ที่การทำซ้ำแหละครับ
นักกีฬาที่เก่งๆอย่างบัวขาว...เขาทราย...สมรักษ์...ล้วนฝึกการชก...เตะ...ตีเขา ชนิดนับชั่วโมงไม่ได้

ในหนังสือแนะนำทักษะการทำธุรกิจขายตรงให้สำเร็จ..เป็นทักษะที่ีสำคัญยิ่งยวด
ทักษะที่ว่ามีด้ววยกัน 2 ทักษะ
1.จัดการข้อโต้แย่ง...เคล็ดลับอยู่ที่สติและการควบคุมอารมณ์ให้นิ่ง...ไม่เงียบเกินไป..ไม่พูดไร้สาระ
2.การนำเสนอแบบจูงใจ...การฝึกให้ลองฝึกพูดต่อหน้าคน 3-4 คน ดูว่าเขาสนใจไหม

ผมขอจบดื้อๆแบบนี้แหละครับ สมองคิดอะไรไม่ออกแล้ว ขอเวลาไปฝึกการจัดการความคิดบ้างละครับ

Read more ►

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ต่างที่คิดชีวิตจึงต่าง

2 ความคิดเห็น
สวัสดีครับผมเองเป็นคนที่ชอบซื้อหนังสือแต่ไม่ชอบอ่านสักเท่าไหร่เลยครับ หนังสือบางเล่มซื้อไว้นานมากกว่าจะได้อ่านก็ผ่านมาหลายปีมากๆ แต่มีหนังสือของอาจารย์สมคิด ลวางกูรนี้แหละครับ ที่ผมอ่านจบเร็วที่สุด เพราะอาจารย์สมคิด ลวางกูร สอดแทรกเนื้อหาสาระที่สำคัญกับมุกตลกๆทำให้หนังสือของอาจารย์สมคิด ลวางกูรทุกเล่มเป็นหนังสือที่อ่านง่ายแต่มากด้วยสาระ

 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมบังเอิญต้องพาน้องสาวไปบิ๊กซี ผมจึงต้องแวะร้า่นหนังสือเพื่อรอน้องสาว ผมก็ได้ไปเปิดอ่านหนังสือของอาจารย์สมคิด ลวางกูร ชื่อว่าสุดยอด...หนังสือดี... 9 ตอน..ต่างที่คิด...ชีวิตจึงต่าง... โดย พิพิธ พุ่มแก้ว ผมเปิดอ่านหนึ่งตอน ซึ่งพออ่านแล้วประทับใจมากผมจึงตัดสินใจซื้อ



หลังจากอ่านหน้าแรกๆๆจึงทราบว่าอาจารย์สมคิด ลวางกูร เอาเนื้อหาจากการอบรมจากอาจารย์พิพิธ พุ่มแก้ว มา
rewrite  ในแบบฉบับของอาจารย์สมคิด คือ มันส์ ฮ่า มีสาระ ผมขอยกตัวอย่างเนื้อเรื่องบางตอนครับ 

"เริ่มต้นด้วย...จงระวังความคิดของเราให้ดี!!! เพราะแว็บแรกของความคิดเรามักจะขาดการไตร่ตรอง ไม่รอบคอบ เป็นความคิดเพื่อตัวเอง เป็นความเห็นแก่ตัว สิ่งที่ถูกต้องและความเป็นจริงมักจะอยู่ตรงกันข้ามกับความคิดแว็บแรกของเรา เสมอ สิ่งสำคัญ คือ “ความคิด” --> เพราะความคิดจะนำไปสู่คำพูด --> คำพูดจะกลายเป็นการกระทำ (พฤติกรรม) --> การกระทำซ้ำๆ จะทำให้เป็นนิสัย --> นิสัยบ่มเพาะเป็นบุคลิกภาพ --> และสุดท้ายบุคลิกภาพนำไปสู่ชะตาชีวิต
ไม่มีใครเปลี่ยนความคิดของใครได้..ถ้าเจ้าตัวไม่ยอมเปลี่ยน แต่เมื่อใดที่เราเผลอใจให้ลอยไปกับความคิดแว็บแรกที่ขาดการไตร่ตรองที่ ดี..เรามักอยากเปลี่ยนความคิดหรือพฤติกรรมของคนอื่น เช่น คนนั้นน่าจะเป็นอย่างนี้ คนนี้น่าจะทำอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้..เสียเวลา..หรือถ้าคนผู้นั้นเขาเปลี่ยนความ คิดหรือพฤติกรรมตามอย่างที่เราชอบ อย่างที่เราอยากให้เป็น..ขอถามว่า..แล้วชีวิตของเราดีขึ้นตรงไหน น่าเสียดายเวลา 24 ชั่วโมงของเราเหลือเกินที่มัวแต่มาเสียเวลาคิดแต่เรื่องของคนอื่น
อ.พิพิธ อธิบายรูปแบบของความคิดและวิธีการปรับเปลี่ยนความคิด โดยใช้ทฤษฎีหน้าต่าง 4 บานของโจฮารี ดังนี้
1. หน้าต่างที่ตนเองรู้ผู้อื่นก็รู้ เปรียบได้กับเรื่องทั่วๆ ไป ที่ตัวเราเองรู้ว่าตัวเราเป็นอย่างไร ถ้าต้องการให้ผู้อื่นรู้ ต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจเรา ก็เพียงแค่เปิดใจ เช่น เราไม่ดื่มกาแฟ แต่เวลาไปประชุมที่ไหนก็มักจะจัดกาแฟไว้ให้เสมอ ถ้าเราไม่เปิดใจบอกผู้จัดเตรียมอาหารว่าง เขาก็ย่อมไม่รู้ แต่ถ้าเราบอกเขาตั้งแต่แรกว่าเราดื่มกาแฟแล้วใจสั่น ขอเป็นโกโก้หรือน้ำชาแทน เปิดใจให้เขารู้ เขาก็จะเข้าใจเราและกระทำต่อเราตามสิ่งที่เราต้องการได้
2. หน้าต่างที่ตนเองรู้แต่ผู้อื่นไม่รู้ เปรียบได้กับเรื่องส่วนตัวหากเราไม่เปิดเผยเรื่องนั้นก็จะเป็นความลับ ถ้าเราไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้เรื่องส่วนตัวของเรา..ก็เก็บไว้ไม่ต้องบอกใคร ในขณะเดียวกันเราก็ควรเคารพสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น ไม่ควรสอดรู้สอดเห็นในเรื่องส่วนตัวที่ผู้อื่นเขาอาจต้องการให้เป็นความลับ ก็ได้
3. หน้าต่างที่ตนเองไม่รู้แต่ผู้อื่นรู้ หมายถึงจุดบอดของตนเองซึ่งเราไม่รู้ เช่น เรามีกลิ่นตัว มีกลิ่นปาก ตัวเราเองไม่รู้แต่คนรอบข้างเราเบือนหน้าหนี กรณีอย่างนี้เราต้องพร้อมยอมรับฟังคำแนะนำหรือคำบอกกล่าวของผู้อื่น เมื่อใดที่มีคนมาบอก จุดบอดของเราต้องขอบคุณคนผู้นั้น และปรับปรุงแก้ไขตนเองลบหรือลดจุดบอดให้เหลือน้อยที่สุด
4. หน้าต่างที่ตนเองก็ไม่รู้และผู้อื่นก็ไม่รู้ หมายถึงเรื่องเร้นลับ ซึ่งในโลกนี้ยังมีเรื่องเร้นลับอีกมากมายที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งสำคัญ คือ เราต้องรู้จักใช้เหตุใช้ผลในการวิเคราะห์เรื่องเร้นลับต่างๆ อะไรที่เราเชื่อแล้วทำให้ชีวิตเดือดร้อน..วุ่นวาย..เป็นทุกข์..ให้หยุดเชื่อ แต่ถ้าเชื่อแล้วชีวิตรุ่งเรือง..สดชื่น..มีความสุข..ไม่เดือดร้อนผู้อื่น.. ก็เชื่อไปเถอะ
หากเราไม่เปลี่ยนความคิด..ชีวิตไม่เปลี่ยน ซึ่งเราสามารถฝึกฝนตัวเราให้เป็นผู้ไตร่ตรองในความคิดได้..โดยเริ่มต้นด้วย การ “คิดให้เป็น” กล่าวคือ เมื่อเริ่มต้นความคิดต้องคิดให้รอบคอบ..คิดในเชิงบวก..คิดให้สร้าง สรรค์..และคิดเพื่อผู้อื่น..เมื่อคิดรอบคอบแล้วจึงพูด..จึงกระทำ สูตรสำเร็จของการทำให้ชะตาชีวิตของเราประสบความสำเร็จ ก็คือ ระวังความคิดที่ตามใจตัวเอง..เพราะฝืนใจได้..ตามใจเสีย - ลองไปถามคนอ้วนๆ ดูสิว่าเขาฝืนใจหรือตามใจตนเอง
- ลองไปถามคนสูบบุหรี่ดูสิว่าเขาฝืนใจหรือตามใจตนเอง
- ลองไปถามคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตดูสิว่าเขาฝืนใจหรือตามใจตนเอง
เปลี่ยนความคิดของท่านให้เป็นคนที่ “คิดเป็น” เสียแต่บัดนี้..แล้วชีวิตท่านจะมีแต่ความสุข...สวัสดี"
Read more ►
 

Copyright © ไอเดียชีวิต Design by O Pregador | Blogger Theme by Blogger Template de luxo | Powered by Blogger