ถ้าคิดว่าทำได้ คุณก็ทำได้ (If you think you can)
ความสำเร็จ คือสิ่งที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้ว่าอยากสัมผัส
ไม่ว่าเป้าหมายของความสำเร็จนั้นจะเล็กน้อยหรือใหญ่แค่ไหนก็ตาม ทุกคนสามารถที่จะประสบความสำเร็จได้
โดยจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือ “ความคิด” ความคิดจะเป็นสิ่งที่กำหนดการกกระทำก่อนที่การกระทำจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คิดไว้
เรื่องที่เกิดขึ้นจริงคือเรามักกำหนดขอบเขตความเป็นไปได้ต่ำกว่าความเป็นจริง
เพราะมั่วไปเชื่อในขอบเขต กรอบความคิด ความเชื่อของใครคนอื่นที่มากำหนดให้
จงอย่าหลงเชื่อความคิดเชิงลบ ที่จะถูกป้อนเข้ามาในความคิดของคุณ
หันหลังให้กับความหวาดกลัว กล้าคิด กล้าฝัน ตั้งเป้าหมายและกำหนดความเป็นไปได้ในตัวคุณเอง
ศักยภาพที่แท้จริงรอการปลดปล่อยออกมา เพื่อนำชีวิตไปสู่ความสำเร็จที่ต้องการ
เราทุกคนต่างมีความฝัน
แต่คนจำนวนมากต่างยอมรับกับสภาพของการกลายเป็นคน
“เคยมีฝัน” และยอมจำนนกับความคิดท้อแท้ว่าเราไม่ดีพอ
เราไม่มีความสามารถพอ เราไม่มีโอกาส เหมือนหลายๆ คน ไม่มีปัจจัยสนับสนุน และอีกสารพัดเหตุผลที่เรามักจะสร้างหรือหยิบยกมาใช้เป็นข้ออ้างให้กับตัวเอง
สุดท้ายจึงไม่น่าแปลกใจที่โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นแทบไม่แวะเวียนมาหาคนที่ยอมรับ
และให้ความคิดแบบนี้มาเป็นนายตัวเอง
เฮนรี่ ฟอร์ด เจ้าของอาณาจักรยานยนต์ฟอร์ดที่ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณคิดว่าทำได้ คุณก็จะทำได้
แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณทำไม่ได้คุณก็คิดถูกอีกนั่นแหละ” ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความคิดและจิตใจของคุณ
หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาของกฎแห่งความสำเร็จ
13 ประการที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จได้ ไม่ว่าเป้าหมายนั้นๆ
จะเป็นอะไรก็ตาม
หนังสือเล่มนี้เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจที่จะช่วยให้คุณเปลี่ยนสิ่งที่เป็นเป้าหมายและความฝันให้กลายเป็นจริงได้
สรุปสาระสำคัญของหนังสือ
กฎข้อที่ 1 พลังแห่งการตัดสินใจ
เช่นเดียวกับพลังแห่งชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในทุกๆเมล็ดพันธ์พืชเล็กๆ
ก็เหมือนกับตัวเราเองมีพลังมหาศาลที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัว ดังนั้นก่อนที่จะมีการลงมือทำหรือการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับชีวิต
ของใครสักคน ย่อมต้องเริ่มจากการตัดสินใจของคนๆ นั้นเสียก่อน เพราะการตัดสินใจและความคิดเป็นเหมือนสลัก
ที่จะปลดปล่อยพลังมหาศาลออกมาเพื่อเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริง
ทุกๆคนบนโลกนี้มีพลังอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “ความอิสระ” เรามีอิสระที่จะเลือกตัดสินใจ
มีอิสระที่จะคิด มีอิสระที่จะเลือกพฤติกรรมและผลลัพธ์ให้ตัวเอง หลายคนเลือกใช้ความคิดอิสระนี้เพื่อสร้าง
ความสำเร็จ ขณะที่อีกหลายคนไม่ได้เลือกทำเช่นนั้น สิ่งที่เราประสบต่างเป็นผลจากการตัดสินใจของเราเองทั้งสิ้น
ลองมาดูว่าการตัดสินใจมีผลต่อชีวิตแค่ไหน เช่นตัวอย่างการตัดสินใจของ โรซ่า ปาร์ค
ที่ตัดสินใจไม่ยอมลุกให้คนผิวขาวนั่งบนรถบัสนั้น
คือจุดเริ่มต้นที่นำมาซึ่งการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนครั้งใหญ่มันคือการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อการเรียกร้องสิทธิการต่อต้านการเหยียดผิวไปทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาและอีกตัวอย่างของการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้บริหาร
ทำให้ยักษ์ใหญ่อย่างเอรอนต้องล้มละลายลงในชั้วข้ามคืน
เมื่อมองดูคามแตกต่างระหว่างมหาตมะ คานธี กับฮิตเลอร์
การตัดสินใจคือสิ่งที่กำหนดสถานะของการบันทึกเรื่องราวของคนทั้งคู่ไว้แตกต่างกันในประวัติสาสตร์
เป็นต้น ดังนั้นการตัดสินใจย่อมดีกว่าการลังเลไม่ยอมตัดสินใจเอาสักอย่าง
ผู้ที่ประสบความสำเร็จเข้าใจดีว่าไม่มีทางที่จะทำการัดสินใจได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่พวกเขารู้ดีว่าจะเติบโตได้อาจต้องผ่านการตัดสินใจที่ผิดพลาดมาก่อนทั้งนั้น ดั่งคำที่ประธานาธิบดี
แฟรงคลิน รูสแวลล์ กล่าวไว้ว่า “คนที่ไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลย
คือคนที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า” ผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้จมองการตัดสินใจและผลลัพธ์ที่ได้รับว่าเป็นบันไดอีกขั้นของการก้าวหน้าไปสู้ผลลัพธ์ที่ต้องการและวิลเลี่ยม
เจมส์ เคยกล่าวว่า “ในชีวิตมนุษย์ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการไม่ยอมตัดสินใจ” การตัดสินใจต้องใช้ความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตนเองและคนอื่นๆด้วยความเชื่อว่าการตัดสินใจนั้นจะให้ผลที่เราต้องการ
การตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับตัวของเราเอง
ถ้าทำการตัดสินใจทำอะไรขอให้เรามีความแน่วแน่ และเชื่อมั่น แต่ถ้าไม่มีความแน่ใจ
ขอให้ตัดสินใจทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ณ ขณะนั้น
และไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร สิ่งที่เราจะได้รับก็คือความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้น
กฎข้อที่2 เค้นสิ่งที่ดีที่สุดจากตัวคุณ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมีในตอนนี้คือผลสะท้อนจากสิ่งที่คุณต้องการจะมีและความทุ่มเทมุ่งมั่นเพื่อสิ่งเหล่านั้น
อริสโตเติล กล่าวว่า “เมื่อคุณกล้าคาดหวัง คุณจะได้รับมัน”
ดังนั้นถ้าเราอยากได้ในสิ่งที่ต้องการเราต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะคาดหวังและเรียกร้องสิ่งที่ดีที่สุดจาก
ตัวเองมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะรู้จักเรียกร้องและเค้นสิ่งที่ดีที่สุดจากตัวเองออกมา
ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนที่ต้องการประสบความสำเร็จจะตั้งมาตรฐานกำหนดความคาดหวังของตัวเองไว้สูง
พวกเขารู้ดีว่าต้องเสียสละบางอย่างเพื่อให้สามารถก้าวไป สู่จุดที่ต้องการได้ ขณะที่คนอื่นอาจจะพักหรือหยุด
เราทุกคนต่างมีพลังในการที่จะทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นในชีวิตได้
เมื่อเรามีความต้องการในสิ่งนั้นอย่างสูงสุด
และยินดีทุ่มเททุกอย่างแบบสุดตัวเพื่อให้ได้มันมา
คุณต้องกำหนดมาตรฐานที่แท้จริงของตัวเองและไม่คาดหวังมากขึ้นเท่านั้น
แต่คุณต้องเรียกร้องตัวเองให้มากขึ้นด้วย สิ่งที่ต้องทำหากต้องการประสบความสำเร็จคือการฝึกวินัยพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ไม่ว่าจะพบกับอุปสรรคใดๆ และคุณเองคือคนที่ต้องยึดมั่นกับมาตรฐานนั้น
เพราะจะไม่มีใครคอยมาควบคุม นอกจากตัวคุณเอง
การจะบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ ย่อมต้องเสียสละและทุ่มเทในระยะสั้น
เพื่อผลในระยะยาว และจำเป็นที่จะต้องสละบางอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการประสบความสำเร็จนั้นๆ
อเล็กซ์ ออสบอร์น กล่าวว่า “หากคุณไม่คิดจะก้าวให้เหนือกว่าสิ่งที่คุณควบคุมได้อยู่แล้ว
คุณจะไม่มีวันเติบโตได้เลย” โดยหากคุณไม่คิดที่จะต้องการสิ่งนั้นๆจริง
ก็จะไม่มีวันได้มันมา เช่น ถ้าคุณต้องการรายได้เพิ่มขึ้น บ้านหลังใหญ่ขึ้น ฯลฯ
คุณต้องเลือกที่จะยกมาตรฐานและความคาดหวังกับตัวเองให้มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น วินซ์
ลอมบาร์ดี้ อาจจะไม่ใช่ผู้ล่นที่โดดเด่นหรือมีพรสวรรค์มากมาย
แต่เขาคาดหวังและเค้นสิ่งที่ดีที่สุดจากตัวเองเสมอ ครั้งหนึ่งเขาลงเล่นตลอดเกมหลังจากมีรอยฉีกในปาก
และเมื่อจบเกม เขาต้องเย็บถึง 30 เข็ม
ที่เขาทำคือไม่ยอมแพ้ง่ายๆ และอดทนต่อความเจ็บปวดจนกระทั่งบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ
กฎข้อที่ 3 ใช้เวลาพัฒนาตัวเอง
ไม่ว่าคุณจะเก็บสะสมเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคุณ
มันจะเป็นสิ่งที่แสดงถึงสิ่งที่คุณเป็น
หากคุณคาดหวังมากขึ้นคุณย่อมต้องทุ่มเทให้มากขึ้น ต้องให้เวลากับการพัฒนาตนเอง
โดยจำไว้เสมอว่า “ห้องที่ใหญ่ที่สุดในโลก
คือห้องสำหรับการพัฒนา” และอย่าลืมว่า เคล็ดลับที่สำคัญที่สุดของความสำเร็จในชีวิตคือ
ต้องทำตัวให้พร้อมสำหรับโอกาส ที่จะผ่านเข้ามา หากไม่รู้จักเตรียมตัวให้พร้อมอย่างดีพอแล้ว
เมื่อโอกาสผ่านเข้ามาก็มักผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ
หากคุณมีนิสัยขี้เกียจ ตามใจตัวเองมากเกินไปหรือมีอารมณ์ฉุนเฉียว
ฯลฯ เหล่านี้ เป็นสิ่งที่บั่นทอนประสิทธิภาพในตัวคุณเอง ต้องพยายามปรับเปลี่ยนเพื่อกำจัดลักษณะนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้ออกไปให้พ้นจากตัวเองโดยนำเป้าหมายที่ต้องการมาเป็นสิ่งจูงใจ
ส่วนหนึ่งของกระบวนการในการพัฒนาตัวเองคือการเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จาก “ความคิดเห็น ของผู้อื่น” เมื่อคุณเริ่มลงมือทำอะไรเพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ หรือเรียนรู้ทักษะใหม่
คุณจะได้รับความคิด เห็นกลับเข้ามาแทบจะในทันที โดยอาจมีทั้งความคิดเห็นในแง่บวกและลบ
ซึ่งความคิดเห็นทั้งสองลักษณะ ล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้นคำแนะนำคือตัดสินใจตั้งแต่วันนี้ที่จะเริ่มเรียนรู้และยอมรับจากความคิดเห็นทั้งแง่บวกและแง่ลบ
ริชาร์ด แบนด์เลอร์ กล่าวว่า “ใจของเรามักจะชอบอะไรที่เหมือนๆกัน”
หากคุณปฏิเสธที่จะเรียนรู้จากความคิดเห็นที่ผ่านเข้ามา
แล้วเลือกที่จะทำในสิ่งที่เป็นอยู่ ก็ย่อมไม่มีการเติบโตและพัฒนา
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดต้องเกิดจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายในก่อนที่จะไปโทษองค์ประกอบภายนอกอื่นๆ
เพราะความสำเร็จนั้นจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้
เช่นเดียวกันกับผู้ที่ฝึกฝนและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
ย่อมมีความคิดที่เฉียบคมขึ้น และเชื่อถือได้มากขึ้น
ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องมากขึ้น และเมื่อผ่านการใช้เวลากับตัวเองมากขึ้น
ก็จะได้คำตอบที่เราต้องการอย่างแท้จริง การเรียนรู้ที่จะใช้เวลากับตัวเองนั้นมีความสำคัญมากพอๆกับการรู้จักใช้เวลาเพื่อคิด
หรือใช้เวลาในแต่ละวันเพื่อทบทวนว่าคุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง
การพัฒนาตัวเองไม่ได้นำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการเท่านั้น
แต่ยังสร้างความพอใจเมื่อสามารถบรรลุผลลัพธ์ได้อีกด้วย
อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ
การเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโอกาสที่จะมาถึง
ย่อมดีกว่าปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดลอยไปเพราไม่เคยเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับโอกาสนั้นๆเลย
กฎข้อที่ 4 ควบคุมความคิดของตัวคุณเอง
หากจะมีเส้นบาง ๆ ที่แบ่งครึ่งระหว่างผู้ที่ประสบความสำเร็จกับผู้ล้มเหลว
เส้นนั้นก็คือคุณภาพทางความคิดของบุคคลนั้นเอง
การที่จะล้มเหลวหรือได้รับผลสำเร็จนั้น
วัดกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการคิดการจัดการที่มาของพลังแห่งความคิดที่น่าทึ่งที่ได้อย่างเหมาะสมอาจทำให้คุณสามารถประสบความสำเร็จได้
นโปเลียนฮิลล์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “ความคิดจะถูกแปลไปเป็นการกระทำที่ส่งผลโดยตรงต่อผลลัพธ์ที่จะได้รับ
ไม่ว่าจะเป็นการคิดทางบวกหรือทางลบก็ตาม” ขณะที่เอเมอร์สัน
กล่าวว่า “เราคือผลพวงของความคิดที่เราคิดว่าตัวเราเองเป็น”
หากคุณปล่อยให้ความคิดในแง่ลบเข้าสู่สมองอยู่เสมอผลลัพธ์ที่ได้ไม่มีทางที่ได้เลย
หากคุณคิดในแง่บวกก็มีโอกาสพบกับเรื่องดีๆที่จะเกิดขึ้นได้มากกว่า
หรือคนที่เอาแต่คิดเรื่องเล็กๆ ก็ย่อมไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง
ดังที่วีคเตอร์ ฮูโก้กล่าวไว้ว่า “คนที่คิดเล็กก็ย่อมได้เล็ก
คิดใหญ่ทำใหญ่ ก็ย่อมได้ผลที่ยิ่งใหญ่”
ดังนั้น หากเราใช้ชีวิตโดยมีความมุ่งมั่นกับความฝันและเป้าหมายที่ชัดเจน
ก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้พบกับวันที่ความฝันและเป้าหมายนั้นๆ เป็นจริงขึ้นมาได้ในชีวิต
เมื่อมีความคิดเชิงลบแว่วผ่านเข้ามา อย่าไปให้ความสำคัญกับมัน ให้ลืมมันเสีย แล้วเลือกความคิดที่ดีที่เป็นเชิงบวกและสร้างสรรค์เข้ามาในสมอง
เปลี่ยนความคิดเสียใหม่
เมื่อไรก็ตามที่เกิดความคิดเชิงลบขึ้นให้เปลี่ยนมุมมองเสียใหม่
มองเสียใหม่จากมุมที่เป็นมุมบวก ชีวิตของเราก็คือผลจาดความคิดของเราเอง
มองที่ด้านบวกมากกว่าด้านลบ ผลที่สำคัญและมีพลังงานมากที่สุดของความคิดก็คือความเชื่อที่จะค่อย
ๆ ก็ตัวขึ้น เมื่อเราเชื่อว่าบางสิ่งเป็นความจริงเราจะเริ่มหาเหตุการณ์หรือหลักบานต่างๆ
ที่มาส่งเสริมและสนับสนุนความเชื่อนั้นๆ และก่อนที่เราจะรู้ตัว
ความเชื่อที่ว่าก็จะกลายเป็นสิ่งที่เราเชื่อถือและกลายเป็นความจริงในที่สุด
เมื่อมีเป้าหมายแล้ว เป้าหมายจะกำหนดทิศทางให้กับความคิด
เมื่อใดก็ตามที่เราอยู่อย่างมีเป้าหมายก็จะไม่มีเวลาเหลือสำหรับความคิดเชิงลบ
เพราะเราจะจดจ่อกับการก้าวไปสู่เป้าหมายเท่านั้น และเมื่อใดตามที่คุณเปลี่ยนแปลงวิธีคิดเกี่ยวกับคนอื่น
คนอื่นๆ ก็จะเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับตัวคุณด้วย หากคุณเลิกคิดหวาดกลัว
ความกลัวก็จะจางหายไปจากจิตใจอย่างที่คำโบราณของ อัฟริกันกล่าวว่า “ไม่มีศัตรูใดน่ากลัวไปกว่าความคิดของตัวเอง”
กฎข้อที่ 5 อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการ
หากเราไม่รู้เป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการอะไร เราอาจหลงทางได้ง่ายๆ
การไม่มีเป้าหมายอาจทำให้เราเสียเวลากับการทำงานหรือมีความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องการหรือมีชีวิตในแบบที่ไม่ได้ต้องการดังนั้น
ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะรู้ชัดเจนแน่นอนว่าตัวเองต้องการอะไรและลงมือทำเพื่อให้ไปสู่เป้าหมายนั้นๆ
เรื่องที่ไม่น่าเชื่อคือมีคนจำนวนมากที่ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต ทำให้รู้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าจะต้องทำอะไรในวันถัดไป
รวมทั้งไม่รู้ว่าอนาคตของตัวเองจะเป็นเช่นไรต่อไป ถ้าคุณไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการในชีวิต
แม้จะมีโอกาสนั้นมารออยู่ตรงหน้าให้เห็น คุณจะมองข้ามไปโดยไม่สนใจและไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
แต่ในทางกลับกันเมื่อคุณมีความชัดเจนกับสิ่งที่ต้องการคุณจะมองเห็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ
ที่อาจนำไปสู่ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ตามเป้าหมายได้
เกอเธ่ย์กล่าวว่า เมื่อใดก็ตามที่คุณผสานวิสัยทัศน์เข้ากับความมุ่งมั่นทุมเทสิ่งต่างๆ
ที่มองไม่เห็นจะค่อยๆ
เผยตัวขึ้นและช่วยส่งเสริมให้คุณก้าวไปสู่จุดหมายที่ต้องการได้ในที่สุด
อย่าพูดว่าตัวเองไม่รู้ว่าต้องการอะไร
อย่าพูดว่าตัวเองอยู่เพื่อความฝันหรือเป้าหมายของคนอื่น ตัดสินใจตั้งแต่วันนี้และคึณจะมีความชัดเจนต่อสิ่งที่ต้องการแล้วทุ่มเทมุ่งมั่นกับการก้าวไปสู่จุดหมายที่ต้องการ
กฎข้อที่ 6 ทำตามจินตนาการ
จินตนาการของคุณคือที่มาของความต้องการและแรงกระตุ้น เป็นที่มาสำคัญของ
การเปลี่ยนแปลงและความคิดต่างๆ ที่จะเปลี่ยนเป็นความจริง ก่อนที่เพลงทุกเพลงจะถูกขับขาน
อาคารทุกหลังจะถูกสร้างขึ้น ล้วนต้องเกิดขึ้นชัดเจนในจินตนาการของใครบางคนมาก่อนทั้งนั้น
ดัง นโปเลียน ฮิลล์กล่าวว่า “ทุกๆความสำเร็จเริ่มต้นจาการจินตนาการก่อนที่จะปรากฏเป็นรูปเป็นร่างขึ้นจริงๆ”
ผู้ที่ประสบความสำเร็จได้รับสิ่งที่ต้องการเนื่องจากรู้จักใช้พลังแห่งจินตนาการ
ในทางที่เป็นประโยชน์ และจินตนาการจะถูกเปลี่ยนให้เป็นความจริงได้ในภายหลัง
ยกตัวอย่างเช่น กรณีของเฟรด สมิธ ผู้ก่อตั้ง FedEx ที่มีแนวคิดของธุรกิจรับส่งสินค้าด่วน
หรือวอลท์ ดิสนีย์ ที่ใช้พลังจากจินตนาการสร้างอาณาจักรในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน
หรือคอนราด ฮิลตัน เจ้าของธุรกิจโรงแรมหรูฮิลตัน
วาดภาพว่าตัวเองเป็นเจ้าของโรงแรมมานานหลายปีก่อนที่เขาจะซ้อโรงแรมแห่งแรก บิล
เกตส์ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ก็เช่นกัน หรือเรย์ ครอด เจ้าของแมคโดนัลด์สร้างแนวคิดของอาหารฟาสต์ฟู้ดล้วนมีจุดเริ่มจากแนวคิดใหม่ๆ
ก่อนทำให้เป็นความจริงทั้งสิ้น
บุคคลที่ประสบความสำเร็จอาจไม่มีการศึกษาสูงมากมายอะไร
เพียงแต่รู้จักใช้จินตนาการผสานปรับเปลี่ยนกับความรู้ที่มีจนได้ความสำเร็จใหม่
ทุกวันคุณควรใช้เวลาสักครู่หนึ่งในการจินตนาการเชิงบวกฝึกให้เป็นนิสัย
เนื่องจากนิสัยนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นเองได้ตามธรรมชาติ
แต่ถ้าได้ฝึกทุกๆวันคุณก็จะใช้พลังงานแห่งจินตนาการได้มากขึ้นอย่างที่ ราล์ฟ วัลโด
เอเมอร์สัน กล่าวว่า “อะไรก็ตามที่เราทำซ้ำๆ บ่อย
ก็จะทำสิ่งนั้นได้ง่ายขึ้น ไม่ใช่เพราะงานนั้นง่ายลงหรอก แต่เป็นเพราะความสามารถของเราเพิ่มขึ้นต่างหาก”
ไม่ว่าคุณจะกำลังเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เปลี่ยนแลปงงาน
หรือทำงานตามเป้าหมายบางอย่างในจินตนาการ ถึงประสบการแห่งความสำเร็จเสมอ ไบรอัน
เทรซี่กล่าวว่า “ผู้ชนะจะคิดถึงสิ่งบวกเสมอ
คาดหวังถึงสิ่งที่มากมาย ที่จะได้รับจากความพยายามนั้นๆ”
กฎข้อที่ 7ลงมือทำ:
ปัจจัยแห่งผู้ชนะ
อัลเบิร์ต เอ็น เกรย์ กล่าวว่า “ผู้ที่ประสบความสำเร็จคือผู้ที่ยินดีทำในสิ่งที่ผู้ไม่ประสบความสำเร็จไม่กล้าทำ
คุณอาจมีแรงบันดาลใจ ความรู้ ทักษะและพรสวรรค์มากมาย
แต่ตราบใดที่ไม่ลงมือทำก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต้องนำแรงบันดาลใจไปสู่การลงมือทำ
อาจเริ่มจากความฝัน จากจินตนาการสู่ความต้องการการจนทำให้คุณมุ่งมั่นกับเป้าหมายและยินดีทำงานแต่ๆ
เพื่อเปลี่ยนภาพที่คิดไว้ให้กลายเป็นเรื่องจริง การทราบอย่างชัดเจนว่าตัวเองต้องการอะไรและมีเป้าหมายอะไรจะทำให้คุณเป็นหนึ่งใน
5% ของที่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่การลงมือทำจะทำให้คุณใน 1%
แรกได้ สิ่งที่คุณต้องทำก็คือการตัดสินใจที่จะลงมือทำนั้นเอง
ผู้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงจะมีนิสัยที่ไม่นั่งเฉยๆ รอให้ความสำเร็จหล่อมาตรงหน้า
แต่พวกเขาเลือกที่จะสร้างโอกาสขึ้นมาให้ตัวเองอย่างห้าวหาญ พวกเขากล้าที่จะลงมือทำ
โฮวิร์ด ชูลส์ ผู้ก่อตั้งร้านกาแฟเลื่อนลง
Starbucks กล่าวว่า “สิ่งที่แยกระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จแม้อาจจะมีพรสวรรค์น้อยว่าออกจากคนที่ไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลยทั้งที่อาจจะมีพรสรรค์ล้นเหลือก็คือการทุ้มเท
มุ่งมั่น และพุ่งเข้าหาโอกาส คนแบบผมไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์มากมาย
แต่เรากล้าสร้างโอกาสให้ตัวเองและพร้อมจะกระโดดเมื่อเราเล็งเห็นช่องว่างที่คนอื่นยังมองไม่เห็น”
คุณจะต้องจำไว้เสมอว่า “ความกล้าหาญนั้นไม่ได้มาจากการไร้ซึ่งความกลัวแต่ความกล้าคือความสามารถที่จะรู้สึกถึงความกลัวแต่ก็กล้าที่จะลงมือทำต่างหาก”
เมื่อไหร่ก็ตามที่ล่าฝัน
คุณต้องเลิกคิดถึงโอกาสในการล้มเหลวหรือความผิดพลาด
คุณต้องเปลี่ยนการให้น้ำหนักความสนใจไปที่ผลที่จะได้รับจาการลงมือทำ
แทนที่จะไปกังวลหรือกลัวหากทำสิ่งนั้นไม่สำเร็จ การจะเอาชนะความกลัว
คุณต้องลงมือทำ
บางครั้งหากเป้าหมายใหญ่มาก และอาจทำให้เรากลัว
เราอาจใช้วิธีแบ่งย่อยเป้าหมายออกเป็นส่วนๆ
แล้วค่อยๆขยับเข้าใกล้ความสำเร็จนั้นทีละนิด
การทำให้สำเร็จทีละส่วนก็กลายเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ดีในบางครั้งเพื่อช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเราหากเราต้องการเรียนกระโดดสูง
คงเป็นไปไม่ได้ที่จะกระโดที่ 6 ฟุต
ตั้งแต่แรก แต่อาจจะเริ่มต้นจากระดับ 3 ฟุต แล้วค่อยๆ
เพิ่มระดับสูงขึ้นเหมืนกับเรียนคณิตศาสตร์เราก็ไม่ได้เริ่มที่ 3,294 *26,589 แต่เราเริ่มต้นจาก
1+1 ต่างหาก ในการพัฒนาหรือเปลี่ยนกลยุทธ์ ต้องคำนึงถึงเวลา และสถานการณ์เสมอ
กลยุทธ์แบบหนึ่งอาจใช้ได้กับสถานการณ์หนึ่งๆ แต่อาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ อีกแบบ คุณต้องพร้อมจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์
หากพบว่าไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ
จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์กล่าวว่า “คนส่งวนมากยอมโทษสถานการณ์และสิ่งรอบตัวว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเองไปไม่ถึงไหน
คนที่ประสบความสำเร็จในโลก คือคนที่มองหาสถานการณ์ตามที่ต้องการและหากหาไม่พบเขาก็สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง”
อย่าไปเชื่อว่าแค่ความฝันและความหวังจะทำให้คุณได้รับสิ่งที่ต้องการ
คุณต้องยินดี ทุ่มเทตัวเองอย่างเต็มตัวกับการลงมือทำเมื่อได้ลงมือทำเต็มที่ก็จะได้รู้ว่าตัวเองมีความสามารถมากกว่าที่ตัวเองคิด
เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรให้ยึดมั่นกับสิ่งนั้นแล้วลงมือทำ
การลงมือทำจะทำให้เกิดแรงขับและความต้องการเพิ่มเติม
กฎข้อที่ 8 ทัศนคติของผู้ชนะ
ในโลกแห่งความเป็นจริง
แน่นอนว่าย่อมมีโอกาสของความผิดหวัง ความผิดพลาดผ่านเข้ามาอยู่เสมอ ความหวาดกลัวจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มรู้สึกว่าตัวเองทำไม่ได้อย่างที่คิด
ไม่มีใครในโลกที่ไม่ผ่านประสบการณ์ที่ว่านี้
แต่ขอให้บอกกับตัวเองว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของขั้นตอนในการจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ การต้องถอยกลับมาตั้งหลักก่อนจะรุกกลับไป
อย่างแรงกว่าเดิม ไม่ใช่เรื่องน่าเสียหาย แต่บางคนก็เลือกที่จะถอดใจเอาง่ายๆ ความแตกต่างนั้นอยู่ที่มุมมองของตัวคุณเอง
แม้ว่าเราไม่อาจควบคุมทุกสถานการณ์ในชีวิตได้ แต่เราสามารถควบคุมวิธีการ
ที่เราตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ และการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้
จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเรียนรู้ศิลปะ การตีความและควบคุมการตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เมื่อไหร่ก็ตามที่พบอุปสรรคหรือปัญหาให้มองหาสิ่งดีๆ
ในปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดข้นนั้น
แล้วถามตัวเองว่าคุณเห็นประโยชน์หรือบทเรียนอะไรบ้างจากอุปสรรคนั้นๆ
เมื่อคุณถามตัวเอง สมองก็จะทำงานซึ่งในทุกๆปัญหาย่อมมีบทเรียนดีๆให้เสมอ
ชีวิตเต็มไปด้วยปัญหาหรือสิ่งดีๆมากมาย ขึ้นอยู่กับการมองโลกของคุณนั้นเอง
คนบางคนมองเห็นแต่อุปสรรคในทุกๆโอกาส ขณะที่บางคนมองเห็นโอกาสในทุกๆปัญหา
ดังนั้นในทุกๆ สถานการณ์ แม้สถานการณ์ที่ย้ำแย่ที่สุดก็มีพลังให้คุณได้
บางครั้งประสบการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดก็สอนให้เราเติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็งที่สุดเช่นกัน
และหัดชื่นชมความสำเร็จขั้นเล็กๆ ที่ทำได้บ้าง ยอมรับว่าเราไม่สามารถวิ่งได้เร็วไปกว่าที่ทำได้
แต่ตราบใดที่เราก้าวไปข้างหน้าได้ แม้จะเป็นก้าวเล็กๆ
แต่ไม่นานคุณจะพบความสำเร็จที่คุณใฝ่หา ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
ทุกอย่างย่อมขึ้นกับวิธีการมองของตัวเราทั้งสิ้น เมื่อสิ่งต่างๆ
ไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ ให้คุณมองเป็นโอกาสสำหรับการแก้ไขและสร้างความเติบโตให้ตัวคุณเอง
พลังของการรักษาทัศนะคติของผู้ชนะจะให้พลังกับคุณและผลักดันให้คุณสามารถก้าวไปข้างหน้าแทนที่จะยอมแพ้อะไรง่ายๆ
กฎข้อที่9 การสร้างทีมที่ประสบความสำเร็จ
เดล คาร์เนกี้เคยกล่าวไว้ว่า “ในโลกนี้ไม่เคยมีใครทำอะไรคนเดียวแล้งจะสำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่”
ในโลกแห่งความเป็นจริง
ไม่มีความสำเร็จสำคัญใดๆเกิดขึ้นจากผลงานของคนเพียงคนเดียว
ไม่มีใครก้าวไปถึงจุดสูงสุดได้โดยไม่มีคนรอบข้างให้การสนับสนุน และ อัลเบิร์ต
ไอน์สไตน์ กล่าวว่า “ผมตระหนักดีว่าชีวิตของผมนั้นได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้างมากทีเดียว
ผมรู้สึกว่าเป็นหนี้คนเหล่านั้น ผมจึงต้องพยายามตอบแทนแก่พวกเขา
ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้”
สภาพแวดล้อมและบุคคลที่เราเกี่ยวข้องด้วยมีผลอย่างยิ่ง ต่ออนาคตของเรารวมถึงระดับการประสบความสำเร็จ
เรื่องแบบนี้มีตัวอย่างให้เห็นตามธรรมชาติ เช่น ปลาบางชนิดจะเติบโตตามสภาพแวดล้อม
หากเลี้ยงในบ่อที่มีขนาดเล็กมันก็จะเติบโตไม่มากนัก
แต่เมื่อเปลี่ยนไปเลี้ยงในบ่อที่ใหญ่ขึ้น มันก็จะเติบโตเต็มที่ตามขนาดของบ่อ ความสำเร็จของคนเราก็มีลักษณะไม่แตกต่างไปจากนี้
โดยทั่วไป คนจะมี 2 ประเภทด้วยกัน
ประเภทแรกคือ คนที่มีความคิดเชิงบวกและอีกประเภทคือ คนที่คิดลบตลอดเวลา
หากต้องการประสบความสำเร็จคุณต้องรู้จักคบค้าสมาคมกับคนที่คิดทางบวกมากกว่าคนที่คิดทางลบ
คนที่คิดทางบวก
คือคนที่กล้าหันหน้าเข้าสู่กับปัญหาแทนที่จะเอาแต่นั่งบ่นไปวันๆ
ถึงปัญหานั้นปัญหานี้ พวกเขาจะไม่เสียเวลากับการนั่งบ่นนั่งท้อ แต่จะมองหาสิ่งดีๆ
จากผู้คนและสถานการณ์ที่เป็นอยู่และชอบที่จะแก้ปัญหา และยินดีเรียนรู้จากสิ่งต่างๆที่ต้องพบ
ส่วนคนที่คิดลบจะมองเห็นแต่อุปสรรค คนเหล่านี้ไม่น่าคบหา
และจะบั่นทอนกำลังใจทำให้คุณหมดพลัง
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณพลาดไปขอความเห็นจากคนกลุ่มนั้นรับรองได้เลยว่าคุณจะได้รับความรู้สึกท้อถอยแทนที่จะได้รับกำลังใจ
คำแนะนำก็คือ พยายามอยู่ห่างๆคนจำพวกนี้ไว้จะดีที่สุด
แอนโทนี่ ร็อบบินส์พูดไว้อย่างน่าสนใจว่า “ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หากคุณสามารถอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับความสำเร็จของบุคคลอื่นๆ
ได้คุณก็สามารถสร้างความเชื่อที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จได้เช่นกัน”
เช่นห่านป่าเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างทีมที่ประสบความสำเร็จ
คุณเคยสังเกตไม่ว่า ห่านป่าอพยพหนีหนาวมันจะบินเรียงกันเป็นรูปตัววี คุณเคยสังเกตไม่ว่าทำไมมันจึงต้องทำเช่นนั้น
ก็เพราะว่าการบินเป็นรูปตัววี
แต่ละครั้งที่ห่านตัวหน้ากระพือปีกมันจะสร้างแรงยกให้ห่านตัวที่บินตามหลังมาได้และส่งผลให้ห่านแต่ละตัวสามารถลดการใช้พลังงานลงไปได้ถึง
50%
และทำการบินได้เป็นระยะทางไกลกว่าการบินลำพังตัวการเดียวถึง 71% เรื่องนี้ก็เหมือนกันกับเรา
หากคุณต้องการเห็นอนาคตของตัวเองให้มองคนที่คุณใช้เวลาส่วนใหญ่ด้วย บุคคลต่างๆ
ที่คุณติดต่อมีผลสำคัญต่อปลายทางในชีวิตของคุณอย่างยิ่ง
การกำหนดเป้าหมายและทุ่มเทตั้งแต่วันนี้ว่าคุณจะพัฒนาตนเองในทิศทางที่เหมาะสมแล้วจะดึงคนที่เหมาะสมและส่งเสริมคุณให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จกับเป้าหมายที่ตังไว้
กฎข้อที่10 พลังแห่งการโฟกัส
อ็อก แมนดิโน่ กล่าวไว้ว่า “คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ความสามารถที่ยิ่งใหญ่ของตัวเอง
เพราะมัวแต่ใช้ชีวิตไปกับเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เป็นสาระสำคัญ”เช่น
เราตัดสินใจว่าจะไปให้ถึงเป้าหมายแต่เผลอแป๊บเดียวกลับไปเสียเวลากับเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร
นอกจากเสียเวลาไปเปล่าๆ และนั่นทำให้เราไม่สามารถขยับเข้าไปใกล้เป้าหมายที่วางไว้ได้
ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะมีสติในการโฟกัสไปยังสิ่งที่ไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้ประสบความสำเร็จต่อเป้าหมายและชีวิต
และเขายังจะทราบดีว่าหากพวกเขาต้องการประสบความสำเร็จย่อมต้องทุ่มเทพลังไปที่เป้าหมายเป็นหลัก
การมีสมาธิและโฟกัสสามารถให้พลังงานได้อย่างมาก
ดังนั้นการทุ่มเทสมาธิและโฟกัส
หมายความว่า คุณเดินตรงไปยังเป้าหมายที่วางไว้อย่างที่ชาร์ลสดิกเก้นส์กล่าวว่า “ผมไม่อาจทำอะไรได้สำเร็จหากไม่ทุ่มสมาธิกับสิ่งที่ผมทำทีละเรื่องให้บรรลุผลเสียก่อน”
การรู้จักจุดแข็งของตัวเองและการจัดระดับความสำคัญมีส่วนสำคัญต่อการไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
สตีเฟ่น โควีย์ เล่าว่า เจ ซี
เพนนี่ เชื่อว่า “การตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุดของเขาก็คือ
การยอมรับว่าเขาไม่สามารถทำทุกอย่างคนเดียวได้ต่อเนื่องไปอีกแล้ว” หากคุณรู้สึกตัวว่ากำลังวิ่งไปผิดทิศทางให้รีบเปลี่ยนพฤติกรรมและการทำงานและจำไว้เสมอว่า
เวลาและพลังงานคือ ทรัพยกรทีคุณต้องบริหารจัดการให้ดีที่สุด และไม่ใช้มันไปอย่างไร้ค่า
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้คนไม่สามารถก้าวไปยังเป้าหมายที่ต้องการได้
ก็เพราะสูญเสียโฟกัส หรือการมุ่งให้ความสำคัญต่อสิ่งที่สำคัญที่สุด ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะมีสติในการโฟกัสไปยังสิ่งที่สามารถสร้างความแตกต่างให้ประสบความสำเร็จต่อเป้าหมายและชีวิต
กฎข้อที่11 การสร้างความรู้สึกเร่งด่วน
ในความเป็นจริงนั้นไม่มีใครรู้ได้เลยว่าตัวเองมีเวลาเหลืออยู่สักเท่าไหร่เราทุกคนไม่มีนาฬิกาหรือเครื่องมือพิเศษ
ที่จะสามารถบอกได้ว่าว่าเรามีโอกาสที่ใช้ชีวิตในโลกใบนี้อีกกี่ปี กี่เดือน กี่วัน
หรือแม้กระทั้งกี่วีนาที ดังนั้น
เราควรนำเอาความรู้สึกตรานี้มาเป็นแรงกระตุ้นให้กล้าลงมือทำ
ลงมือไล่ล้าความฝันของเองเสียตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้
นำความรู้สึกเร่งด่วนนี้มาบอกตัวเองให้ใช้ชีวิตอย่างที่ฝัน
ชีวิตเป็นสิ่งที่เปราะบางมากกว่าที่ใครจะคาดคิดการมีชีวิตอยู่วันนี้คุณอาจจะต้องจากไปในวันพรุ่ง
ไม่เคยมีใครรับประกันได้ได้เลยว่าจะมีวันพรุ่งนี้จริงๆ
คนที่เคยประสบความสำเร็จจึงใช้ชีวิตอย่างเรื่อยเปื่อยใช้เวลาไปเรื่อยๆ
เหมือนมีเวลามากมายมหาศาลยอย่างไรก็ตามถ้าคุณยอมทำอะไรเลยหรือใช้ชีวิตเหมือนรอโอกาสดีๆ
ที่สุดมาล่นลงตรงหน้ามันก็ไม่มีวันเกิดขึ้นได้แน่นอน ดังนั้นคุณต้องพยายาม
ต้องทุ้มเทสุดตัว พร้อมจะแบกรับความเหนื่อยหนัก ความกดดัน
ความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ในทุกๆสิ่งที่คุณกล้าลงมือทำ
คุณจะได้รับประสบการณ์ที่ไม่มีวันได้มา ถ้าไม่เริ่มลงมือทำอะไรจริงๆจังๆ
ดังนั้นคุณควรเลิกคิดรอให้องค์ประกอบหรือสถานการณ์รอบๆ ข้างดีข้น เหมาะสมขึ้น
หรือเอื้ออำนวยต่อคุณขึ้นแล้วค่อยลงมือทำ เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน
นาฬิกาชีวิตของคุณเดินหน้าตลอดไม่มีวันย้อนกลับ
ในอดีตถ้าใครคิดทำธุรกิจอะไรขึ้นมาสักอย่างแล้วประสบความสำเร็จอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจะมีคนก็อปปี้แนวคิดของคุณได้
แต่วันนี้อาจใช้เวลาไม่นานแบบนั้น ดังนั้นคุณต้องออกตัวให้เร็วที่สุด
เลิกผัดวันประกันพรุ่งถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ เมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้ว
สำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จจะไม่มีปริปากบ่นถึงความเหนื่อยยาก
มีแต่จะบ่นว่าเวลาทำงานมีไม่พอ
ดังนั้นพวกเขาจะรู้จักบริหารเวลาของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เบนจามิน แฟลงลิน
กล่าวว่า “คุณรักชีวิตของคุณหรือเปล่าถ้ารักคุณจะไม่ใช้เวลาให้ผ่านไปเปล่าๆ
เพราะนั้นคือการกระทำที่ไร้ค่า” ดังนั้นในทุกๆช่วงวัยของชีวิตเราสามารถทำฝันให้เป็นจริงได้
โดยเริ่มจากการลงมือทำ
ใครจะไปรู้ว่าอะไรบางอย่างที่คุณลงมือทำอาจเป็นสิ่งที่สำคัญต่อครอบครัว สังคม
ประเทศชาติหรือต่อโลกก็ได้
สิ่งเดียวที่รับประกันได้คือ เวลานี้ที่คุณมีอยู่อย่าเชื่อว่าพรุ่งนี้จะมีจริง
มีอะไรรับประกันได้ว่าโอกาสดีๆ ที่เกิดขึ้นจะยังคงรอคุณอยู่ตรงหน้าไปตลอด
และเลิกใช้ชีวิตเหมือนมีเวลามาก
เลิกผัดวันประกันพรุ่งแล้วเริ่มลงมือทำตามความฝันของคุณดีกว่า
กฎข้อที่ 12 ไม่มีวันยอมแพ้
การล้มเลิก
ยอมแพ้หันหลังให้เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องพบกับความยากลำบาก
ความกดดันคนส่วนมากมักจะเลือกที่จะยอมแพ้ง่ายๆ
แทนที่จะพยายามต่อสู้ให้เต็มที่เมื่อต้องพบกับสภาวะที่ไม่เป็นใจ
สำหรับคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่พวกเขาเลือกที่จะไม่หันหลังให้ง่ายๆ โดยเขาจะมองความล้มเหลวที่ต้องพบเจอว่าเป็นบันไดก้าวไปสู่ความสำเร็จปลายทางที่ตังไว้
เรื่องที่แย่สุดๆ ของการยอมแพ้หรือถอดใจง่ายๆ ก็คือ ถ้าคุณยอมแพ้ครั้งแรกแล้วจะกลายเป็นนิสัย
และมักจะเกิดขึ้นได้อีกง่ายๆ ในครั้งต่อไป กว่าจะรู้ตัวคุณจะกลายเป็นคนที่ยอมแพ้เป็นครั้งที่
2 ครั้งที่ 3 และในที่สุดก็จะกลายเป็นนิสัยติดตัวไปตลอดชีวิต
ดังนั้นอย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นคนที่ยอมแพ้อะไรง่ายอย่ายอมให้วันหนึ่งต้องมานั่งคุยกับตัวเองว่า
ถ้าวันนั้นในอดีตฉันไม่ยอมแพ้อะไรง่ายและพยายามต่ออีกนิด ก็น่าจะทำได้แล้ว
ยกตัวอย่างกรณีของ ไมเคิล จอร์แดน นักบาสเกตบอลชื่อดังที่เป็นตำนานของ NBA กล่าวว่า “เขามีโอกาส 9,000 ครั้งตลอดการเล่นอาชีพ เขาแพ้เกือบ 300 เกม
เขามีโอกาสชู้ตตัดสินเกมให้ทีม แต่พลาดทำให้ทีมแพ้ไป 26
ครั้ง เขาล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วนในชีวิต
แต่นั่นแหละคือเหตุผลที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ”
ความล้มเหลวจะเป็นจุดจบสำหรับคนที่ยอมยกธงขาว
แต่สำหรับคนที่ไม่ยอมแพ้ความล้มเหลวจะเป็นประสบการณ์และเป็นโอกาสสำหรับการเรียนรู้ที่จะทำให้คุณขยับเข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้น
กฎข้อที่ 13 อยู่อย่างมีจุดหมาย
การดำเนินชีวิตแบบไร้จุดมุ่งหมายไม่มีทิศทางให้ตัวเอง
แน่นอนว่าบุคคลที่ใช้ชีวิตแบบนั้นคงมีโอกาสน้อยมากที่จะก้าวไปสู่ ความสำเร็จได้
คนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีนิสัยและความเชื่อมั่นว่าจะทำได้มากกว่าจะมองสาเหตุที่ทำให้ทำอะไรบางอย่างไม่สำเร็จ
เหมือนที่ จอร์จ เบอร์นาร์ดชอว์ กล่าวว่า “คนส่วนใหญ่มองเห็นสิ่งของบางอย่าง
แล้วตั้งคำถาม แต่เขาจะฝันถึงอะไรบางอย่างที่ยังไม่เคยมีแล้วถามตัวเองว่า
ทำไมจะทำมันไม่ได้”
ไม่ว่าเป้าหมายของคุณคืออะไร คำแนะนำเพียงอย่างเดียวคือ
ให้ทำตามเป้าหมายให้ได้ โดยให้ขยับมาตรฐานให้สูงขึ้น แล้วคุณจะพบว่าชีวิตเปลี่ยนไปมากกว่าที่คิด
การมีชีวิตโดยไม่มีเป้าหมาย เป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุด หลายคนที่ตื่นไปทำงานแบบไม่เต็มใจเรียกว่าทำงานแบบขอไปที
ทำงานแค่ไม่โดนไล่ออก ขอให้มีเงินเดือนกินก็พอแล้ว แน่นอนว่า เราคงเปลี่ยนแปลงทุกคนไม่ได้
แต่คนเดียวที่สำคัญที่สุดซึ่งเราเปลี่ยนแปลงได้คือตัวเราเอง และอีกประการหนึ่งคือคนที่ไม่มีความฝัน
ไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิต มักจะเสียชีวิตไม่นานหลังเกษียณ เพราะสมองไม่ได้ทำงานไม่ได้คิดอะไร
ต่างจากคนที่มีเป้าหมาย คิดอะไรใหม่ๆ ให้ชีวิตเสมอ
ดังนั้น
คุณต้องเริ่มต้นใช้ชิตอย่างมีจุดหมายตั้งแต่วันนี้โดยหลักการต่างๆ
แล้วคุณจะพบว่าชีวิตมีความหมายและดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
เริ่มตั้งแต่วันนี้ก็ยังไม่สายเกินไป
แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
1.ทฤษฎีการกำหนดเป้าหมาย (Goal – Setting
Theory)
Edwin Locke นักปราชญ์ชาวอังกฤษ ประยุกต์และกล่าวถึงสถานที่ทำงานเป็นหลัก
โดยเห็นว่าแรงจูงใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในฐานะตำแหน่งการทำงาน เป็นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง
เป้าหมาย ความตั้งใจ และผลการทำงาน
เป้าหมาย คือ อะไรก็ตามที่บุคคลจะต้องพยายามไปให้ถึง การตั้งเป้าหมายจะทำให้ได้ผลการทำงานที่ดีกว่าไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้
และเป้าหมายที่ยากก็จะก่อให้เกิดแรงจูงใจมากกว่าเป้าหมายที่ง่าย แต่เป้าหมายก็ไม่ควรยากเกินไป
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการชักจูงใจเพื่อนำไปสู่เป้า หมายถึง
การแข่งขันและโอกาสในการมีส่วนร่วมในการตั้งเป้าหมาย ปัจจัยเหล่านี้ แสดงให้เห็นถึงการจูงใจในการกำหนดเป้าหมายและนำไปสู่ความสำเร็จ
เงื่อนไขในเป้าหมายจะลดลงเมื่อความหวังของพวกเขาเหล่านั้นได้เสื่อมลง ปัจจัยส่วนบุคคลและสถานการณ์มีความสัมพันธ์ต่อการทุ่มเทตนเพื่อเป้าหมายสูงสุด
ซึ่งประกอบด้วย ความต้องการที่จะประสบความสำเร็จ ความอดทนต่อความยากลำบาก ความมุ่งมั่น
และการแข่งขัน (ดังนั้น จึงถูกเรียกว่า พฤติกรรมแบบ
A) ความสำเร็จในการได้มาซึ่งเป้าหมายโดยความยากลำบาก
ความเคารพในศักดิ์ศรีของตนเองสูง และอำนาจการควบคุมภายใน
การตั้งเป้าหมายเป็นกระบวนการหนึ่งของทฤษฎีแรงจูงใจที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายและเข้าใจถึงพฤติกรรมการประเมิน
เพื่อพัฒนางานให้ก้าวหน้ามากขึ้นแต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือความสามารถและการสื่อสาร
การตั้งเป้าหมายที่ยากและสูงสามารถนำไปสู่การปรับปรุงการทำงานได้เมื่อ
-
หัวข้อที่ตั้งเป้าหมายสามารถทำได้
-
ได้รับข้อมูลย้อนกลับจากการทำงานตามเป้าหมายนั้น
-
มีรางวัลสำหรับเป้าหมายที่บรรลุผล
-
มีการจัดการที่รองรับเป้าหมาย
-
เป็นที่ยอมรับของบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ทำตามเป้าหมายนั้น
จากหนังสือที่ดิฉันอ่าน จะเห็นได้ว่า
เนื้อหาในหนังสือมีความเกี่ยวข้องกับทฤษฎีนี้มากเลยทีเดียว
เพราะในหนังสือเล่มนี้ส่วนมากจะกล่าวถึง กฎต่างๆ ที่จะนำเราไปสู่ความสำเร็จ
ไม่ว่าเป้าหมายนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ซึ่งในที่นี้จะยกตัวอย่างบางตอนมาประกอบเพื่อจะได้เห็นภาพได้ชัดเจน
เช่น คุณลองจิตนาการถึงคนที่รู้จัก ซึ่งดำเนินชีวิตแบบไร้จุดมุ่งหมาย
ไม่มีทิศทางให้ตัวเอง แน่นอนว่าบุคคลที่ใช้ชีวิตแบบนั้น
คงมีโอกาสน้อยมากที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ
เพราะคนที่ไม่เคยตั้งจุดหมายที่ต้องการให้ชีวิต
ย่อมมีโอกาสที่จะหลุดออกจากเส้นทางที่เหมาะสมได้ง่าย
นอกจากนี้การไม่มีเป้าหมายยังทำให้ขาดแรงผลักดันที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จและความฝันที่ต้องการได้
ดังนั้นคนที่ประสบความสำเร็จรู้ดีว่าต้องมีเป้าหมายให้ชีวิตตัวเอง
จากนั้นจึงจัดระเบียบชีวิตให้สอดคล้องหรือสนับสนุนกับเป้าหมายที่วางไว้
แล้วชีวิตเราจะมีค่ามากที่สุด
เหมือนที่ แอนดริว คาร์เนกี้ กล่าวว่า “ถ้าคุณอยากมีความสุข ให้กำหนดเป้าหมายที่สามารถควบคุมความคิดของคุณได้
ทำให้คุณมีพลังและแรงขับ มีความฝันที่จะก้าวไปข้างหน้า”
ยกตัวอย่างของ
โฮเวิร์ค ชูลส์ เจ้าของกิจการ Starbucks ที่เขาประสบความสำเร็จได้ก็เพราะเขามีความฝัน
มีความมุ่งมั่นในสิ่งที่จะทำและเขา กล่าวว่า “เขามีความชัดเจนในตัวเอง
ความต้องการที่เกิดขึ้นคือ การต้องการทำอะไรสักอย่างเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว
และเขาเชื่อว่าเรากำหนดโชคชะตาและปลายทางชีวิตได้ด้วยตัวเอง”
2.การทำงานเป็นทีม คือ
บุคคลตั้งแต่ 2
คนขึ้นไปมีปฏิสัมพันธ์ (Interacting) ต่อกัน
และมีการพึ่งพา (Interdependent) ต่อกันและกันและใช้ความทักษะความสามารถเฉพาะตัวของบุคคล
เพื่อจะบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน
ทีมงานที่มีประสิทธิภาพควรมีลักษณะ
1. ทีมงานที่ทำงานเพื่อเป้าหมายร่วมกัน
2. มีความขัดแย้งระหว่างสมาชิกน้อยมาก
3. สมาชิกแต่ละคนมีพฤติกรรมสนับสนุนกันและกัน
4. การติดต่อสื่อสารเป็นไปโดยเปิดเผย
5. สมาชิกทำงานร่วมกันเกี่ยวกับเป้าหมายต่าง ๆ
ขององค์การ ดังนั้น
การทำงานเป็นทีมจะสมบูรณ์ได้จำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องยาวนานจนเป็นที่พึงพอใจของสมาชิกทุกคนแล้วสมาชิกจะรักษาสถานภาพที่ดีของทีมไว้ เพื่อพัฒนางานให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
เทคนิคการสร้างทีมงานที่ดี
สิ่งใดที่ทำให้ทีมงานของคุณทำงานด้วยกันได้? และอะไรคือปัจจัยสำคัญที่สร้างทีมงานให้มีประสิทธิภาพ?
ส่วนใหญ่แล้ว ทีมงานที่ดีมักประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้
- มองอนาคตร่วมกัน ทีมงานจะมีจุดมุ่งหมายว่ากำลังจะไปทางใด
และจุดมุ่งหมายนี้จะเป็นทางเดียวกันกับผู้บริหารระดับสูงขององค์กรสมาชิกเข้าใจหน้าที่ของตัวเองในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้เป้าหมายนั้นๆ
บรรลุได้ตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้
-
มีจุดมุ่งหมายของทีมงานกับวัตถุประสงค์ที่แน่ชัดและเป้าหมายร่วมกัน
สมาชิกทุกคนในทีมงานมีบทบาทในการทำงานที่เด่นชัด
และเข้าใจว่าหน้าที่ของตนอยู่ตรงไหน และหน้าที่ของคนอื่นในทีมงานอยู่ตรงไหน
มีการวางเป้าหมายที่สามารถทำสำเร็จได้บ่อยครั้ง สมาชิกแต่ละคนยอมรับความแตกต่างของกันและกันได้
คุณค่าของสิ่งต่างๆ
จะถูกตัดสินร่วมกันและกฎเกณฑ์ขั้นพื้นฐานจะตั้งขึ้นโดยคนส่วนใหญ่
-
มีบรรยากาศแห่งความไว้ใจและให้กำลังใจกัน มีการเคารพซึ่งกันและกันโดยไม่เสแสร้ง
เข้าใจกัน และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สมาชิกในทีมงานจะใช้เวลาในการรู้จักกันและกันและแสดงความเห็นใจกัน
ซึ่งจะนำมาซึ่งความร่วมมือที่ดี
-
มีการสื่อสารที่ดี มีการสื่อสารที่ครอบคลุมและได้รับข้อมูลที่ไม่มีการปิดบัง
สมาชิกมีการฟังซึ่งกันและกันเท่ากับที่ตอบคำถามให้แก่กันและกัน
สามารถที่จะบอกผลกระทบทั้งในแง่ดีและในแง่ไม่ดีให้ฟังได้โดยไม่ขัดเขิน
-
มีการยอมรับในปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างสร้างสรรค์
สมาชิกมีการเสนอความคิดเห็นที่แตกต่างกันและทำให้ปัญหาต่างๆ ดูเป็นเรื่องธรรมดา
มีการจัดการเรื่องราวต่างๆ
ในทันทีและทำให้ปัญหานั้นเป็นปัญหาของทั้งทีมงานมากกว่าที่จะโทษใครเพียงคนเดียว
-
มีระเบียบการที่ชัดเจน ทีมงานจะมีระเบียบการสำหรับการตัดสินใจ
การมอบหมายความรับผิดชอบ และการจัดประชุมต่างๆ
-
มีผู้นำที่เหมาะสม ผู้นำจะใช้กำลังของสมาชิกทุกคนอย่างเป็นประโยชน์ที่สุด
และรู้จักการใช้จิตวิทยาสำหรับทีมงาน
-
มีการตรวจสอบวิจารณ์สิ่งต่างๆ ทีมงานมักจะประเมินทั้งหน้าที่และวิธีการทำงาน
มีการทบทวนจุดมุ่งหมายและตั้งเป้าหมายใหม่เมื่อมีความจำเป็น สมาชิกมีทักษะในการแก้ไขปัญหาและเรียนรู้สิ่งต่างๆ
จากความผิดพลาดอย่างรวดเร็ว
-
มีการมอบหมายงานให้แต่ละคนและพัฒนาคนให้เป็นมืออาชีพ สมาชิกทุคนจะมีการประเมินผลงานของตัวเองอยู่เป็นประจำ
ผู้นำของทีมงานจะมีโอกาสในการพัฒนาสมาชิกแต่ละคน ในขณะที่สมาชิกคนอื่นๆ
ก็มีสิทธิในการที่จะช่วยพัฒนาซึ่งกันและกัน หรือแม้แต่ช่วยพัฒนาคนที่เป็นผู้นำด้วย
ทีมงานจะมีความสุขในการทำงาน
-
มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับกลุ่มอื่นๆ ทีมงานจะต้องมีความสัมพันธ์กับกลุ่มอื่นๆ
ทั้งที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง และสามารถร่วมงานกับทีมงานอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี
กลยุทธ์ในการทำงานเป็นทีม
ร่วมใจ (Heart) หมายถึง ความรู้สึกของสมาชิกที่รักและศรัทธาในหัวหน้าทีม
งานที่ทำ และเพื่อน ๆ ร่วมทีมว่าเป็นพวกเดียวกัน หรือที่เรียกว่า Feel like a team มีความเอื้อเฟื้อห่วงใยซึ่งกันและกัน
มีความเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน และเกิดความไว้วางใจต่อกัน
ร่วมคิด (Head) หมายถึง การใช้ความคิด
เหตุผลให้เพื่อนร่วมงานเชื่อมั่นว่า ทำแล้วดี มีประโยชน์ต่อตัวเขาเอง ต่อองค์กร
โดยช่วยกันระดมสมอง กำหนดเป้าหมาย วางแผน แบ่งงาน แบ่งหน้าที่ หรือที่เรียกว่า Think like a team การทำงานจะราบรื่น ถ้าสมาชิกในทีมมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน
ร่วมทำ (Hand) หมายถึง การร่วมมือ ลงมือทำงานซึ่งได้มีการวางแผนไว้
หน้าที่ใครก็รับไปทำ หรือที่เรียกว่า Work like a team ซึ่งทุกคนมีพันธะสัญญาที่จะต้องทำแผนทุกคน
เนื่องจากได้มีส่วนร่วมในการคิดร่วมกัน
ในส่วนนี้จะเกี่ยวข้องกับกฎข้อที่
9 คือการสร้างทีมที่ประสบผลสำเร็จโดยมีเนื้อหาที่กล่าวว่า
ผู้ที่ประสบความสำเร็จจะเข้าใจดีถึงความสำคัญในการรู้จักหาการสนับสนุนที่เหมาะสมเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการย่อมมีความจำเป็นที่จะทำตัวเองให้อยู่ในจุดที่มีคนช่วยเหลือสนับสนุนให้เราก้าวไปยังจุดหมายที่ตั้งไว้ได้
เราต้องมีความเกี่ยวโยงกับคนที่มาช่วยชดเชยจุดอ่อนของเราได้
รู้จักร่วมมือกับคนที่เฉลียวฉลาดกว่า สร้างความสัมพันธ์และผูกมิตรกับคนที่ช่วยให้แนวคิด
ให้พลังสร้างมุมมองที่ดี สร้างแรงกระตุ้นและความมั่นใจกับเราได้ เช่น นโปเลียน
ฮิลล์เขาเล่าให้ฟังถึงเฮนรี่ ฟอร์ด ซึ่งกลายเป็นชายที่ร่ำรวยที่สุดในอมเมริกาภายในช่วงเวลาไม่นาน
เพราะแรงบันดาลใจของมิสเตอร์ฟอร์ด
มีส่วนสำคัญจากการได้เป็นเพื่อนกับยอดนักประดิษฐ์อย่างโทมัส อัลวา เอดิสัน
นอกจากนี้เขายังเป็นเพื่อนสนิทกับ ฮาร์วี่ย์ ไฟร์สโตน จอห์น เบอร์โรว์และลูเธอร์
เบอร์แบงค์...จากความสัมพันธ์กับบุคคลเหล่านี้นี่เอง ประสบการณ์ ความรู้
และแรงบันดาลใจจากบุคคลชั้นยอดเหล่านี้
เมื่อนำมารวมกับพลังความคิดที่เจิดจรัสของเขา จึงทำให้เขาประสบความสำเร็จได้อย่างงดงาม
เป็นต้น
3.ทฤษฎีความต้องการตามลำดับขั้น (Need
Hierarchy Theory)
Abraham
Maslow ให้ความสำคัญกับแหล่งที่มาของแรงจูงใจ เช่น
ความต้องการด้านชีววิทยาหรือสัญชาตญาณ
อะไรคือสาเหตุให้คนประพฤติตัวตามความพึงพอใจของตนเอง ซึ่งความต้องการอย่างหนึ่งไม่ได้ส่งผลต่อพฤติกรรมในระยะยาว
และความต้องการอื่นก็จะเข้ามาแทนที่ คนเรามักจะเสาะหาสิ่งต่าง ๆ
เพื่อสนองความต้องการ เพราะความต้องการที่จะสมหวังย่อมไม่มีที่สิ้นสุด
โดยได้เสนอความต้องการเป็น 5 ขั้น ได้แก่
1) ความต้องการทางกายภาพ (Physiological needs) เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานที่สุด
เพื่อความมีชีวิตอยู่รอด ได้แก่ อาหาร, อากาศ, น้ำ การนอน และแรงขับทางเพศ เป็นต้น
2) ความต้องการความปลอดภัย (Safety needs) เป็นความต้องการแสวงหาความปลอดภัยทางด้านที่พักอาศัยและความมั่นคง
3) ความต้องการความรักและการยอมรับ (Belonging and love needs) เป็นความต้องการที่ต้องการการยอมรับทางสังคมในด้านความรัก มิตรภาพ
บทบาทหน้าที่ และการมีส่วนร่วม
4) ความต้องการได้รับการยกย่องนับถือ (Self-esteem needs) เป็นความต้องการทางด้านความคิดภายใน เช่น
เป็นที่ชื่นชอบและได้รับการยกย่องนับถือจากผู้อื่น
5) ความต้องการความสำเร็จในชีวิต (Self-actualization) เป็นความต้องการสูงสุดในชีวิตของคน
เป็นการเข้าใจและตระหนักในความสามารถของตน
จึงต้องการจะใช้ความสามารถนั้นตอบสนองความต้องการของตน
โดยไม่สนใจว่าจะต้องได้รับผลตอบแทน
แน่นอนว่าทุกคนจะต้องมีความต้องการกันทั้งนั้น ไม่ว่าความต้องการของบุคคลก็มีความแตกต่างกันออกไปของแต่ละวัย
แต่สิ่งที่ทุกคนปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือความต้องการเพื่อความมีชีวิตอยู่รอด ต้องการความปลอดภัย
ต้องการความรักและการยอมรับจากสังคมและคนรอบข้าง ต้องการได้รับการยกย่องนับถือ
และสุดท้ายแล้วทุกคนก็ต้องการความสำเร็จในชีวิตในชีวิตกันทั้งนั้น
เช่นกันกับที่ในหนังสือเล่มนี้ก็พยายามที่จะให้ข้อคิดหรือแนวคิดต่างๆที่จะทำให้ทุกคนที่อ่านได้มีแรงบันดาลใจ
ที่จะช่วยให้คุณได้เปลี่ยนสิ่งที่เป็นความฝันให้กลายเป็นจริงได้
4.ทฤษฎีการกำกับดูแลตนเอง (Self-Regulation
Theory)
คือ
ความคิดเกี่ยวกับเป้าหมาย เป็นการสันนิษฐานว่า
คนเรามีจิตสำนึกในการตั้งเป้าหมายสำหรับตนเองเพื่อที่จะควบคุมพฤติกรรมและนำทางไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
ทฤษฎีการกำกับดูแลตนเองอธิบายว่า บุคคลมีบทบาทที่มีประสิทธิภาพในการเฝ้าติดตามพฤติกรรมของตนเอง
เฝ้ามองตนเองหรือการประเมินตนเองด้วย การค้นหาผลย้อนกลับ การตอบสนองต่อผลย้อนกลับ
และการสร้างรูปแบบความคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของความสำเร็จแห่งความพยายามในอนาคต
นั่นคือ พวกเขาตระหนักเกี่ยวกับความก้าวหน้าของตนด้วยการทำตามเป้าหมายที่พวกเขาได้ตั้งไว้
ทฤษฎีการกำกับดูแลตนเองน่าจะปฏิบัติเป้าหมายที่เราเห็นว่ามีความสำคัญกับเราโดยเฉพาะมากกว่าเป้าหมายที่ไม่สำคัญ
จะสอดคล้องกับส่วนหนึ่งในหนังสือคือ กฎข้อที่ 3ใช้เวลาพัฒนาตัวเอง หากคุณปฏิเสธที่จะเรียนรู้จากความคิดเห็นที่ผ่านเข้ามา
แล้วเลือกที่จะทำในสิ่งที่เป็นอยู่ ก็ย่อมไม่มีการเติบโตและพัฒนา
เช่นเดียวกันกับผู้ที่ฝึกฝนและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง
ย่อมมีความคิดที่เฉียบคมขึ้น และเมื่อผ่านการใช้เวลากับตัวเองมากขึ้น
ก็จะได้คำตอบที่เราต้องการอย่างแท้จริง ดังเช่น กฎของผลตอบกลับที่เพิ่มขึ้น
กล่าวคือ เราจะไม่ได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวแค่สิ่งที่ลงทุนลงแรงหว่านเพาะไปเท่านั้น
แต่มักจะได้กลับมามากกว่านั้น เช่น เมื่อเราฝังเมล็ดเล็กลงในพื้นดิน
มันจะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าจุดเริ่มต้นหลายเท่า ส่วนกฎของการรอคอย คือ
ไม่ว่าจะอย่างไร ย่อมต้องใช้เวลากับสิ่งที่ลงทุนลงแรงไปเสมอ
อาจจะยาวนานมากน้อยแตกต่างกันไป
และเป็นไปไม่ได้ที่คุณจะฝังเมล็ดพันธ์ลงไปเมื่อวานแล้วต้นใหญ่ภายในวันเดียว
เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความอดทนและการรอคอย ดังนั้นเมื่อเราเห็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ
บอกตัวเองงได้เลยว่าเป็นเราะพวกเขผ่านการทุ่มเทและปรับปรุงตัวเองอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ก้าวมาถึงจุดมุ่งหมายที่ต้องการ
การเรียนรู้ที่จะใช้เวลากับตัวเองนั้นมีความสำคัญมากพอๆกับการรู้จักใช้เวลาเพื่อคิด
หรือใช้เวลาในแต่ละวันเพื่อทบทวนว่าคุณได้เรียนรู้อะไรบ้าง และการพัฒนาตัวเองไม่ได้นำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการเท่านั้น
แต่ยังสร้างความพอใจเมื่อสามารถบรรลุผลลัพธ์ได้อีกด้วย
ความคิดเห็นและการวิเคราะห์
“ถ้าคิดว่าทำได้
คุณก็ทำได้” เป็นหนังสือที่ TJ Hoisington ได้รวบรวมแนวคิดพื้นฐาน 13 ประการสำหรับก้าวไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ
ที่เราสามารถนำไปใช้ได้จริงกับการเปลี่ยนแปลงชีวิต เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต
ดังนั้นหนังสือเล่มนี้เมื่อได้อ่านและทำความเข้าใจแล้วทำให้ดิฉันได้พบว่าการที่เราจะประสบความสำเร็จได้นั้นเราจะต้องรู้จักตนเองโดยการสำตัวเองว่ามีจุดเด่น
จุดด้อยตรงไหนบ้างและยอมรับตนเองให้ได้ แล้วค้นหาพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวและนำมาใช้ให้เต็มที่
ต้องมีความศรัทธาในตนเอง
โดยเชื่อในความสามารถของตนเอง
ไม่ดูถูกตนเอง เพราะว่าก่อนที่คุณจะเรียกความศรัทธาจากคนอื่นได้นั้นคุณต้องศรัทธาตัวเองก่อน
และต้องรู้จักพึ่งตนเอง หมั่นฝึกช่วยตนเองให้มากที่สุด
ก่อนที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น ซึ่งการที่ได้ทำอะไรด้วยตนเองแล้ว
ผลที่เกิดขึ้นจะเป็นโอกาสและความก้าวหน้าของตนเองที่จะประสบผลสำเร็จ และที่สำคัญคือเราจะได้มีการพัฒนาจากสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการกระทำของตนเอง
เพราะว่าถ้าเรารอแต่ให้คนอื่นเข้ามาช่วยเราจะไม่รู้เลยว่าเราก็มีความสามารถที่จะทำอะไรได้ด้วยตนเอง
และให้คิดในแง่บวก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นให้เราคิดเป็นประสบการณ์ที่ดี
ที่ทำให้เราเติบโตขึ้นและเพิ่มประสบการณ์ของเรา
ดังนั้นให้มองวิกฤตเป็นโอกาสและเปลี่ยนปัญหาอุปสรรคให้เป็นความสำเร็จ
มีชีวิตอยู่กับปัจจุบันโดยสนใจและทุ่มเทกับงานที่ทำอยู่ในขณะนั้น อย่าห่วงหน้า
พะวงหลัง ให้กำจัดความกลัว ซึ่งความกลัวเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จและทำให้ไม่กล้าทำอะไร
ดังนั้นอย่าได้กลัวที่จะลงมือทำ
เพราะว่าถ้าเรามีความกลัวแล้วจะทำให้เราไม่มีก้าวแรกที่จะนำเราไปถึงเป้าหมายได้ โอกาสคอยเราอยู่เสมอ
การที่เราได้ลงมือทำยังดีกว่าที่เราไม่ทำอะไรเลย
เพราะอย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้กับปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วหาทางที่จะแก้ปัญหานั้นๆและยังต้องปลูกฝังนิสัยที่ดีให้กับตนเอง
โดยการฝึกฝน เสริมสร้างนิสัยที่ดีเช่น ต้องมีความอดทน มีจิตใจที่เข้มแข็ง
ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ไม่กลัวต่อความยากลำบาก ต่อสู้และกล้าหาญ
ดังนั้นจะพบว่าทุกคนมีพลังอยู่ในตัวเองอยู่แล้วเพียงแต่ว่าเรายังค้นพบมันไม่เจอ
เพราะคนส่วนมากเชื่อว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จได้นั้น
ย่อมต้องมีทักษะความสามารถที่พิเศษจึงสามารถทำได้
แต่ในความเป็นจริงแล้วความสำเร็จมีปัจจัยสำคัญมาจากความมุ่งมั่นและทุ่มเทมากกว่าการมีพรสวรรค์หรือทักษะพิเศษนั่นและจะเห็นว่า
ศักยภาพของคนนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งเราใช้และฝึกฝนทักษะที่มีอยู่มากขึ้น ก็จะทำให้มีทักษะใหม่ๆเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
อย่าลังเลกับสิ่งที่จะลงมือทำ เพราะหากคุณไม่เริ่มผลคงไม่เกิด
เราไม่จำเป็นต้องเห็นตลอดทั้งเส้นทางหรือเห็นทางทั้งหมด แต่หากคุณเริ่มและลองดู คุณอาจจะเห็นทางอีกหลายทางแล้วสามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
และจงจำไว้ว่า " ถ้าคุณคิดว่าคุณพ่ายแพ้ คุณจะพ่ายแพ้
ถ้าคุณคิดว่า คุณไม่กล้า คุณจะไม่กล้า ถ้าคุณต้องการที่จะชนะ
แต่คุณคิดว่าคุณไม่อาจชนะ เกือบจะ แน่นอนว่าคุณจะไม่ชนะ ถ้าคุณคิดว่าคุณย่อยยับคุณจะย่อยยับ
" เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ความสำเร็จเริ่มต้นด้วยความต้องการของคนผู้นั้นทั้งหมด
มันขึ้นอยู่กับจิตใจ ถ้าคุณคิดว่าคุณแพ้ คุณจะเป็นเช่นนั้น คุณจะต้องคิดให้สูงเพื่อที่จะยกตัวของคุณให้สูงขึ้น
คุณจะต้องเชื่อถือในตัวของคุณเองก่อน ก่อนที่คุณจะชนะ รางวัลชีวิตมิได้อยู่ที่ผู้ที่แข็งแรง หรือเร็วกว่าเสมอไปแต่ในที่สุดไม่เร็วก็ช้า คนที่ชนะคือคนที่คิดว่าเขาทำได้
คุณจะต้องเชื่อถือในตัวของคุณเองก่อน ก่อนที่คุณจะชนะ รางวัลชีวิตมิได้อยู่ที่ผู้ที่แข็งแรง หรือเร็วกว่าเสมอไปแต่ในที่สุดไม่เร็วก็ช้า คนที่ชนะคือคนที่คิดว่าเขาทำได้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น