วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ตัวอย่างPDCA

0 ความคิดเห็น
  


 เมื่อเอยถึงคำว่าPDCA เชื่อว่าทุกคนคงพอคุ้นหูและรู้ความหมายแล้ว
เพราะทุกวงการย่อมได้ทำงานคุณภาพ และงานคุณภาพก็หนีไม่พ้นวงล้อ PDCA
แม้ในชีวิตประจำเราเอง หากต้องการชีวิตที่มีคุณภาพ ก็ต้องนำ PDCAไปใช้ครับ
ตัวอย่าง PDCA ในชีวิตประจำวัน

    สมมุติว่าเช้าวันพรุ่งนี้มีนัดไปดูหนังกับคนที่เราปลื้ม
กลางคืนก่อนนอน เราย่อม เลือกเสื้อผ้าที่เราจะใส่แล้วดูดี   = plan
เมื่อเราเลือกแล้วเราก้ลองใส่ทั้งเสื้อ กางเกง หมวก = Do
หลังจากใส่แล้วเราจะส่องกระจก และถามคนในบ้านว่าเราดูดีแล้วหรือยัง = Check
ถ้าใส่แล้วดูไม่จืดเราก็ต้องย้อนไปที่ขั้นตอนที่ 1 คือ plan/do/check
ถ้าใส่แล้วดูดี มีสไตล์ รู้สึกมั่นอกมั่นใจ = Act

Read more ►

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความสำเร็จ

0 ความคิดเห็น


 หากมีคนมาถามเราว่า เราอยากประสบความสำเร็จหรือไม่
แน่นอนครับ ทุกๆคนต้องตอบว่า "อยากประสบความสำเร็จ"
แต่นิยามของคำว่า "ความสำเร็จ" ของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน
คนที่อยากรวย ความสำเร็จ คือ การมีเงินร้อยล้าน
คนที่ต้องการความสุข ความสำเร็จคือ การดับทุกข์
คนที่ตกงาน ความสำเร็จคือการได้งานทำ

    ไม่ว่าท่านจะนิยามความสำเร็จว่าอย่างไร
มันไม่สำศัญ สิ่งที่สำคัญคือวิธีการที่จะนำท่านไปสู่ความสำเร็จ
อาจารย์ สมคิด ลวางกูร จากเด็กวัด แย่งหมากิน สู่คนรวยร้อยล้าน
ท่านได้แนะนำวิธีนำพาตัวเองสู่ความสำเร็จดังนี้ครับ

“คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น หนึ่ง ต้องมีเป้าหมายชีวิต สอง ต้องมีความมุ่งมั่นทุ่มเทในการเดินไปสู่เป้าหมาย ไม่สำเร็จ กูไม่เลิก สาม ไม่ยอมแพ้ อุปสรรคปัญหาเยอะแค่ไหน หนักแค่ไหน กูไม่มีวันยอมแพ้ และสี่ ศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา เจอใครชอบซักถาม ให้เขาสอน 4 อย่างนี้เราจะพบในคนที่ประสบความสำเร็จ”
และผมมีข้อแนะนำเพิ่มเติม(แนะนำตัวผมเองด้วย)
ระหว่างที่ท่านกำลังเดินทางสู่เป้าหมาย เดินทางสู่ความสำเร็จ อันหอมหวาน ชื่นใจ
หากท่านเกิดอาการขี้เกียจ ท้อแท้ เหนื่อย ให้ท่านไปอ่าน   กระตุ้นแรงจูงใจ
ผมเห็นว่าเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลมากครับ
Read more ►

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

I am because we are

0 ความคิดเห็น
 
ชายคนหนึ่งให้เด็กๆชนเผ่า Xhosa ในแอฟริกาเล่นเกม
โดยเอาตะกร้าผลไม้ไปซ่อนในต้นไม
โดยมีกติกาเด็กคนไหนหาได้ก่อนเป็นผู้ชนะเอาผลไม้ไปกินได้เลย
 ปรากฏว่าเด็กๆจับมือกันวิ่งไปหาลไม้ จึงเป็นผู้ชนะได้กินผลไม้แสนหวานฉ่ำกันทุกคน
 ชายคนนั้นถามว่าทำไมไม่ต่างคนต่างวิ่งจะได้ชนะได้กินคนเดียว
 เด็กตอบว่า "ถ้าชนะแล้ว จะมีความสุขบนความเศร้าของคนอื่นอยู่ได้ยังไง "
 พูดเป็นภาษาอังกฤษว่า  "I am because we are"
Read more ►

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Scrum Task Board

0 ความคิดเห็น
Scrum Board หรือ Sprint Board หรือ Task Board แล้วแต่คนจะเรียก เป็น Tool หนึ่งที่เป็นที่นิยมกันมากโปรแกรมเมอร์หลายคนชอบใช้  Scrum Board  เหมาะกับการทำงานเป็นทีม

ตอนนี้ผมกำลังเอามาประยุกต์ใช้กับการเรียนภาษาอังกฤษ โดยนำ Scrum Board มาติดที่ผนังห้องเพื่อเตือนความจำและกระตุ้นให้ทำในสิ่งที่ต้องทำ เช่น ท่องศัพท์ /ทำข้อสอบ/ฟังข่าวภาษาอังกฤษ 
Read more ►

กระตุ้นแรงจูงใจ

0 ความคิดเห็น

 หากวันใดเรามีแรงจูงใจ น้อยกว่าปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น
 อาการที่แสดงออกมาคือ เบื่อ เซ็ง ขี้เกียจ ท้อแท้ ฯลฯ 
 ถ้าวันไหนเรามีแรงจูงใจ มากกว่าปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น
 อาการที่เราแสดงออกคือ สนุก ขยัน แรงฮึดเยอะ ไม่กลัว กล้าทำ กล้าลุย กล้าเสี่ยง ฯลฯ 

แรงจูงใจมีอยู่ในตัวคนเราอย่างไม่จำกัด แต่ข้อจำกัดอยู่ที่ใจของเราเองที่ไปจำกัดว่าเราไม่มี เราไม่ไหว เช่น เวลาตื่นนอนตอนเช้าถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อ ท้อ ขี้เกียจ การที่จะลุกขึ้นออกจากเตียงยังยาก
แต่ถ้าวันไหนมีกำลังไหม้บ้าน (แรงผลักที่เกิดจากความกลัว)
 หรือเราต้องไปขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศ(แรงดึงที่เกิดจากความอยาก) 
เราสามารถตื่นและลุกออกจากเตียงได้โดยไม่ต้องลังเล
 สิ่งเหล่านี้แสดงว่าในความเป็นจริงแล้ว ศักยภาพในตัวเรามีอยู่อย่างไม่จำกัด 
ขึ้นอยู่กับว่าเรามีสิ่งกระตุ้น(ความอยากและความกลัว)และเทคนิควิธีการในการ ฉุดดึงเอาแรงจูงใจ ออกมาใช้ได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น

เพื่อให้ชีวิตของเรามีแรงขับเคลื่อนที่มากและต่อเนื่อง ขอแนะนำเทคนิคการสร้างแรงจูงใจดังนี้

การสร้างแรงจูงใจ...จากเรื่องราวในอดีต
      คนแก่ชอบเล่าเรื่องเก่า เพราะชีวิตของคนกลุ่มนี้ไม่มีอนาคตแล้ว พลังที่จะช่วยให้ชีวิตของเรายังคงอยู่ต่อไปได้คือกำลังใจจากเรื่องราวในอดีต ที่รู้สึกภูมิใจ เล่ากี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยเบื่อ 
     ถ้าเรายังไม่แก่ ควรจะนำเอาเรื่องเก่า มาสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง
 เมื่อไหร่ที่เกิดอาการขี้เกียจ ให้นึกถึงความยากลำบากในชีวิตที่ผ่านมา
การสร้างแรงจูงใจจากอดีต ถือเป็นเทคนิคการสร้างแรงจูงใจแบบผลักดันให้ชีวิตเราเดินไปข้างหน้า ด้วยเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว เหมือนกับการที่เราเข็นรถยนต์ที่จอดอยู่จากด้านหลังของรถนั่นเอง ตัวอย่างเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอดีต...
 
  • ใครเบื่อพ่อเม่ ขอให้นึกถึงตอนที่เราเจ็บไข้ไม่สบายตอนเด็กๆ ใครเป็นคนเผ้าดูแลเอาใจใส่เราตลอดเวลา
  • ใครเบื่องาน ขอให้นึกถึงวันเริ่มงานวันแรก
  • ใครเบื่อสามีหรือภรรยา ให้นึกถึงวันที่แต่งงาน
  • ใครเบื่อลูกให้นึกถึงวันที่คลอดลูกหรือไปรอหน้าห้องคลอด
  • ใครเบื่อคนรอบข้างให้นึกถึงวันที่เราเคยไปหลงป่าอยู่คนเดียว หรือวันที่เราต้องอยู่บ้านคนเดียว
  • ใครเบื่อตัวเอง ให้นึกถึงวันที่เราเคยให้คำปรึกษาผู้อื่น
การสร้างแรงจูงใจ...จากเรื่องราวในอนาคต
สำหรับการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคต เป็นการหลอกตัวเองให้วิ่งไล่จับความฝัน หลอกตัวเองให้กลัวการสูญเสียบางสิ่งบางอย่างในอนาคตไป เป็นการป้องกันคำว่า “เสียดาย” ในชีวิต เพราะคนหลายคนมักจะเกิดคำว่าเสียดายในหลายเรื่อง เนื่องจากมาคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว วิธีการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคตเป็นการซ้อมคิดหาคำว่าเสียดายที่ อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วนำเอาความรู้สึกเสียดายนั้นๆมาใช้ในการสร้างแรงจูงใจ ตัวอย่างเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคต...
 
  • ใครเบื่อพ่อเม่ ขอให้นึกถึงวันสุดท้ายที่ท่านจากเราไป
  • ใครเบื่องาน ขอให้นึกถึงวันที่เขาจะให้เราออกจากงานหรือวันที่เราจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
  • ใครเบื่อสามีหรือภรรยา ให้นึกถึงวันที่เขาจากเราไป
  • ใครเบื่อลูกให้นึกถึงวันที่ลูกประสบความสำเร็จ
  • ใครเบื่อคนรอบข้างให้นึกถึงวันที่คนเหล่านั้นมาร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเรา
  • ใครเบื่อตัวเอง ให้นึกถึงวันที่เราจะประสบความสำเร็จ
สรุป แรงจูงใจไม่ต้องไปซื้อหาหรือหยิบยืมใครที่ไหน มันอยู่ในตัวของเราอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะมีเทคนิควิธีการในการดึงมันขึ้นมาใช้ได้อย่างไร สำหรับเทคนิคที่ผมแนะนำไปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ผู้อ่านหลายท่านอาจจะมีเทคนิคเฉพาะของตัวเองอีกหลายวิธี ขอให้ลองฝึกดึงพลังภายในโดยการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองบ่อยๆ รับรองได้ว่าชีวิตนี้ไม่มีวันหมด “กำลังใจ” อย่างแน่นอนครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.peoplevalue.co.th/
Read more ►

ทฤษฎีลิง

0 ความคิดเห็น
 

ผมเคยได้ยินเรื่องทฤษฎีลิงครั้งแรกจากหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่งของ นิ้ว กลม
ผมอ่านแล้วรู้สึกสะเทือนถึงก้นบึ้งของหัวใจ
คำถามทิ้งท้ายหลังจากอ่านหนังสือดังกล่าวจบคือ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ เป็นสิ่งที่ทำตามกันเฉยๆหรือเปล่า

   ด้วยเพราะชอบทฤษฎีลิงที่นิ้วกลมเขียนเล่าให้ฟังมาก ผมจึงค้นหาใน google เพิ่มเติม เจอทฤษฎีลิงเกี่ยวกับลิงที่น่าสนใจ อยู่ 3 เรื่องด้วยกันครับ

1.ทฤษฎีลิง 5 ตัว
Monkey Theory หรือ ทฤษฎีลิง โดยนำลิง 5 ตัวไปอยู่ในกรง ที่ตรงกลาง มีบันไดตั้งไว้ และมีกล้วยแขวนไว้ที่เพดาน เมื่อมีลิงตัวใดตัวหนึ่ง พยายามจะปีนบันได ไปกินกล้วย ผู้ควบคุมจะทำการลงโทษลิงทั้ง 5 ตัว ด้วยการฉีดน้ำไปที่ลิง ทำซ้ำๆ กันจนลิงทั้ง 5 ตัวเกิดพฤติกรรม " รุมกัด " ลิงตัวที่จะพยายามไปปีนกินกล้วย ก่อนจะโดนลงโทษฉีดน้ำ จากนั้นนำลิงตัวใหม่มาแทนลิงชุดเก่า 5 ตัว ทีละตัว เมื่อลิงตัวใหม่ ตัวใดตัวหนึ่ง พยายามจะปีนกินกล้วย ก็จะถูกลิง 5 ตัวเก่า รุมกัด จนเป็นนิสัย แม้ว่าจะไม่มีการลงโทษด้วยการฉีดน้ำ และเมื่อนำลิงเก่าออกไปทั้งหมดจนเหลือแต่ลิงตัวใหม่ทั้งหมด ก็ปรากฏว่า ยังพบพฤติกรรมลิงในกรงรุมกัด ลิงตัวใดตัวหนึ่งที่ปีนกินกล้วย ทั้งๆ ที่ลิงอยู่ในกรงปัจจุบัน ไม่มีลิงตัวใดที่เคยถูกทำโทษด้วยการฉีดน้ำ ดังนั้น สามารถสรุปได้ว่า “วัฒนธรรมองค์การที่เคยปฏิบัติต่อๆ กันมา ใช่ว่าจะถูกต้องหรือเหมาะสมกับภาวะปัจจุบันเสมอไป และบุคลากรในองค์กรสามารถที่จะช่วยกันเปลี่ยนแปลงระบบนี้ได้”


 2. ทฤษฎีลิง 3 ตัว ของขงจื้อ 
สาระสำคัญ ทฤษฎีลิง 3 ตัวนี้เป็นทฤษฎีของนักปราชญ์ชาวจีน โดยมีความเชื่อว่าการเป็นผู้บริหารที่ดีนั้น ต้องรู้จักควบคุมการฟัง ควบคุมการมอง และควบคุมการพูด ซึ่งเปรียบเทียบได้กับสัญลักษณ์ของลิงทั้ง 3 ตัวนี้มีลักษณะแตกต่างกัน ก็เปรียบเสมือนกับคนเราย่อมแตกต่างกัน ลิงตัวเดียวไม่สามารถปิดหู ปิดตา ปิดปากได้ในเวลาเดียวกัน เพราะมีมือเพียงสองมือเท่านั้น มนุษย์ก็เช่นกันไม่สามารถทำอะไรในเวลาเดียวกันได้ทุก อย่าง เพราะฉะนั้นผู้บริหารควรจะเลือกนำมาใช้ว่าสถานการณ์ใ ดควรใช้แบบใด

ทฤษฎีลิง 3 ตัว มีรายละเอียด ดังนี้

ลิง ตัวที่ 1 นั่งปิดหูหนึ่งหู ก็หมายความว่า คนเราควรจะรู้จักควบคุมว่าอะไรที่ควรฟังหรือไม่ควรฟั ง ต้องแยกแยะในสิ่งที่ฟังมา ต้องฟังหูไว้หู แล้วนำสิ่งที่ฟังมาวิเคราะห์ว่ามันเป็นอย่างไร โดยใช้หลักการและเหตุผลมาประกอบเข้าด้วยกัน อย่าเชื่อในสิ่งที่เราฟังทั้งหมด เพราะมันอาจจะไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็ได้

ลิง ตัวที่ 2 นั่งปิดตาหนึ่งตา ก็หมายความว่า รู้จักควบคุมการมองว่าอะไรควรมองหรือไม่ควรมอง อย่างเชื่อในสิ่งที่เรามองเห็นทั้งหมด เพราะบางครั้งสิ่งที่เรามองเห็นก็ไม่ใช่เรื่องจริงทั ้งหมด มองแล้วพิจารณาไตร่ตรอง อย่าตัดสินคนทันทีที่เห็น

ลิงตัวที่ 3 นั่งปิดปากครึ่งปาก ก็หมายความว่า รู้จักควบคุมการพูดว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูดอย่างไ ร การเป็นผู้บริหารหรือผู้ปฏิบัติงานก็ตาม ควรจะไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะพูดอะไรออกมา เพราะบางครั้งคำพูดของเราอาจจะไปกระทบกับบุคคลอื่นโด ยไม่รู้ตัว หรืออาจจะนำความเสียหายมาสู่องค์กรได้ เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำอะไรก็ควรจะคิด และพิจารณาให้ดีก่อนที่จะพูดออกไป .... 

3. ทฤษฎีลิง 3 ตัว โดย หมอสมศักดิ์
ในทางธรรมะ   เรามีภาพปริศนาธรรมเป็นรูปลิง 3 ตัว   ตัวหนึ่งปิดปาก  ตัวหนึ่งปิดหู  อีกตัวหนึ่งปิดตา   เพื่อไม่ให้ความชั่วร้ายเข้าสู่ตัว ไม่ฟังสิ่งที่เป็นความชั่ว   ไม่มองสิ่งที่เป็นความชั่ว   และไม่พูดสิ่งที่ชั่วร้าย   ลิงปริศนาธรรมกลัวความชั่ว
         แต่ KM ตรงกันข้าม   เราเอาใจใส่ความดี  รักความดี  ความสำเร็จ   ดังนั้นจึงต้องเปิดใจ  เปิดหู  และเปิดปาก   เปิดใจรับความคิดหรือทฤษฎีที่แตกต่าง   เปิดหูรับฟังแบบลึก (deep listening)  และเปิดปากเล่าเรื่องราวของความสำเร็จ (storytelling) เพื่อ Share & Learn




Read more ►

Stand Up Meeting

0 ความคิดเห็น
    
การทำงานในองค์กรใดๆไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือหน่วยงานราชการ การประชุมเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก
ที่ผ่านมาหลังจากที่ผมได้ทำงานในหน่วยงานของรัฐ การประชุม ชี้แจง จะทำในห้องปรพะชุมเท่านั้น
ด้วยความอ้วน ทำให้ผมนั่งทำประชุมได้ไม่นานและมีอาการปวดหลัง

     ผมนึกถึงช่วงเวลาที่ผมเป็นนักเรียน เราเข้าแถวทุกๆตอนเช้าเพื่อที่อาจารย์จะได้ให้โอวาท
ความรู้สึกตอนนั้นผมไม่ชอบการเข้าแถวในตอนเช้ามาก เพื่อนผมหลายคนก็รู้สึกเช่นกัน
   
     การประชุมอีกรูปแบบหนึ่งที่มีการใช้อย่างกว้างขวางและมีความคล้ายกับการเข้าแถวสมัยเป็นนักเรียน  เรียกว่า Stand up meeting 
  
    Stand up meeting เป็นรูปแบบที่ช่วย ประหยัดเวลา ช่วยให้ไม่หลงประเด็นในการประชุม
 โดยหัวใจสำคัญของการประชุมรูปแบบนี้คือการยืน เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกเมื่อยนั้นแสดงว่าเราประชุมนานเกินไป  เราและสมาชิกผู้ร่วมประชุมจะไม่พูดนอกเรื่อง จะเน้นเฉพาะเรื่องที่สำคัญมากๆเท่านั้น
Read more ►

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

โรคขี้เกียจทำงาน

0 ความคิดเห็น
     ช่วงวันแห่งความรักที่ผ่านมา  ถึงแม้ผมเองไม่ได้ไปฉลองวันแห่งความรัก เพราะถือว่ามันเป็นแค่วัน วันหนึ่งเท่านั้นเอง แต่ถึงอย่างไร 14 กุมภาพันธ์ 2556 ดูเหมือนจะเป็นวันดี ดี อีกวัน

     ไม่เพียงแต่เพื่อนผมได้เปิดร้านอาหารชื่อร้าน friendly   ญาติผมก็ได้ทำการอุปสมบทในวันเดียวกัน
ทำให้ผมทั้งได้พบปะเพื่อนๆ เจอญาติๆ  ซึ่งญาติผมส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย ขาลุย ด้วยกันทั้งนั้น
ด้วยเหตุและปัจจัยต่างๆ ทำให้ผม เพื่อน และพี่ๆ ได้ท่องราตรี พูดคุย แสดงวิสัยทัศน์
 แน่นอนการท่องราตรี การพูดคุยแสดงวิสัยทัศน์  ย่อมมีการดื่มสังสรรค์กันบ้าง ไม่มากก็น้อย
 บทสรุปของวันเปิดร้าน friendly  คือผมกลับบ้านตี 4 เช้ามาก็ต้องตื่นมาทำงานปกติ
วันแรก วันเดียว ผมเองไม่รู้สึกอะไร หลงเหลือไว้แต่ความรู้สึกสนุก มันส์
ด้วยความที่ผมไปกินข้าวที่ร้านเพื่อนทุกๆวัน ทำให้ผมเจอเพื่อน พี่ ซึ่งก็ลงเอยที่เธค และกลับตี 4 ทุกวัน เป็นช่วงเวลาที่สนุก และมันส์ มาก นั่งนับนิ้วก็กินเวลาทั้งสิ้น 4 วัน รวด

    พอผ่านพ้นช่วงแห่งการปลดปล่อย ก็ถึงวันต้องกลับมาทำงาน
ซึ่งการหยุดยาวหลายๆ วันก็ทำให้เป็นโรค "ขี้เกียจทำงาน"
เพื่อรักษาโรคขี้เกียจ และทำให้มีอารมณ์ทำงานอีกครั้ง
ผมมีข้อมูล  วิธีการรักษาโรคขี้เกียจทำงานมาฝากครับ

กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้ให้ความรู้ว่า ตามจิตวิทยาทั่วไปของพฤติกรรมมนุษย์ เมื่อมีวันหยุดยาวช่วงเทศกาลจะปลดปล่อยอารมณ์เที่ยวอย่างเต็มที่ เพราะเห็นว่าทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งปีต้องเต็มที่สักหน่อย   เมื่อต้องกลับมาทำงานจึงคล้ายกับการเปลี่ยนชีวิตไปอีกด้านหนึ่งแบบ กะทันหัน ตามจิตวิทยามักเกิดอาการ "Fatigue" หรืออาการอ่อนล้า หรืออาการอิดโรยของกายและใจ
 
    อาการที่ว่านี้มักมาในหลายปัจจัย อาทิ ต้องนั่งรถเพื่อเดินทางไกล 
หรือเป็นหลังจากดื่มกินสังสรรค์กับเพื่อนฝูง หรือจากคนที่รักเพื่อไปทำงาน เป็นต้น

ภายใต้สภาวะดังกล่าว มักจะเกิดขึ้นในช่วงระยะสั้นๆ เท่านั้น เป็นเรื่องที่สามารถแก้ไขได้ ทั้งการดื่มกินแบบรู้ตัวเอง ถ้ารู้ว่าไม่ไหวก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าฝืน หรือหมั่นโทรศัพท์หาพ่อและแม่ หรือลูก รวมไปถึงญาติพี่น้องเมื่อมาทำงาน ตรงนี้จะช่วยคลายเหงาได้มาก

แต่หากปล่อยเวลาผ่านไปสักระยะอาการอ่อนล้าจากการทำงานยังไม่หาย กรมสุขภาพจิต แนะว่า ขอให้ระวังอาจเป็น "อาการเหนื่อยล้าเรื้อรัง" อาการดังกล่าวนี้ย่อมทำให้เกิดการเสื่อมถอยทั้งกายและใจ มีผลกระทบต่ออารมณ์และจิตใจด้วยเสมอ

ขอย้ำว่าอาการเหนื่อยล้าไม่เหมือนกับอาการง่วงนอน ถึงแม้ว่าอยากจะนอนก็ตามที อาการเหนื่อยล้าเป็นอาการที่ขาดแรงกระตุ้น ทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น
อาการที่เกิดขึ้น อาทิ สายตาพร่ามัว ปัสสาวะออกน้อยหรือไม่มี บางรายน้ำหนักตัวลด มีอาการท้องผูก นอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน พร้อมทั้งมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วยในบางราย

อาการเหนื่อยล้าเป็นอาการของปัญหาทางสุขภาพ ที่มีอยู่แล้ว อาทิ โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ โรคความดัน เป็นต้น บางรายหากพื้นฐานเป็นคนเครียดและมีอาการซึมเศร้าเป็นทุนเดิม จะเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีต่อการเกิดโรคนี้อย่างมาก หากมีอาการเหล่านี้แนะนำว่าควรไปพบแพทย์เพื่อทำการักษาจะดีที่สุด
   
เอาเป็นว่าหลังเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลแล้วเสร็จ หมั่นดูแลสุขภาพกายใจของตนเอง จากที่เคยดื่มหัวราน้ำยันเช้าก็เพลาๆ ลงบ้าง หาเวลาพักผ่อนเพื่อจะได้มีแรงในการทำงาน

และอย่าลืมโทรศัพท์หาคนที่รัก อาทิ พ่อแม่ ลูก รวมไปถึงคู่รักในยามที่ห่างไกลจะเป็นกำลังใจชั้นดีต่อการสู้งานหนักแถมโรค อ่อนล้าจากการทำงานก็ไม่ถามหา

หลีกให้ไกลยานอนหลับ
กรมสุขภาพจิต แนะว่าหลังกลับมาจากเฉลิมฉลองช่วงเทศกาลปีใหม่ ควรจะลดละแอลกอฮอล์และพักผ่อนให้เพียงพอ โดยการนอนหลับจะดีที่สุด และหมั่นออกกำลังกายเมื่อมีโอกาสหากใครเป็นโรคประจำตัวก็หมั่นกินยาหรือ หมั่นไปหาหมอ
ข้อระวังอีกอย่าง หากรู้สึกนอนไม่หลับแต่อยากพักผ่อน ไม่ควรกินยานอนหลับ หากกินเป็นเวลานานๆ อาจทำให้ติดและอาจเกิดอาการข้างเคียงได้ เช่น เวียนศีรษะ เบื่ออาหาร ท้องเสีย สะลึมสะลือ
หากใช้ยาเกินขนาดอาจทำให้เกิดอาการสับสน ความดันเลือดต่ำ การหายใจถูกกด หมดสติ จนถึงช็อกได้ ดังนั้น การใช้ยานอนหลับจึงควรอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์จะดีกว่า


ที่มา : หนังสือพิมพ์เอ็มทูเอฟ
Read more ►

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

deleteผลัดวันประกันพรุ่ง พุ่งหาเส้นชัย!

0 ความคิดเห็น

‘ผลัดวันประกันพรุ่ง’ เป็นการกระทำหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นได้หลายปัจจัย อย่าง เวลาไร้สมาธิ เหนื่อย เบื่อ ไม่รู้สึกตื่นเต้นสนใจในสิ่งนั้น ๆ การมีภาระรับผิดชอบอื่นอีกมาก ความกลัว กังวลที่จะเริ่มต้นทำในเรื่องไม่คุ้นเคย หรือ ชะล่าใจเชื่อว่าจัดการได้ทันกำหนดเวลา ตลอดจนสภาพอากาศสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นเงื่อนไขจี้ความรู้สึกได้ทุกเมื่อให้เลื่อนปฏิบัติจัดการสิ่งใดสิ่ง หนึ่งออกไปก่อน ซึ่งบ่อยครั้งทำให้ผลลัพธ์ไม่สัมฤทธิ์ดังหวัง หรือ คุณภาพไม่เป็นอย่างตั้งใจ ทั้งยังอาจเสียโอกาสดี ๆ ไป

สำหรับแรงผลักดันกระตุ้นความตื่นตัวประการหนึ่ง คือ ‘การเตือนตนด้วยข้อความ’ โดยเขียนเป้าหมาย สรุปเป็นประโยคสั้น ๆ ลงกระดาษ แล้วนำไปติดไว้ในบริเวณที่เห็นได้ง่าย อย่าง กระจกแต่งตัว โต๊ะทำงาน หรือ ปฏิทิน เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ติดตาม ช่วยเตือนถึงระยะเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามาทุกขณะ

รวมทั้ง ‘เทคนิคพิชิตงานใหญ่’ บางครั้งเมื่อเกิดการรับ รู้ว่าชีวิตกำลังจะได้รับบทหนักกับภารกิจไม่คุ้นเคย ยาก ขาดประสบการณ์ มักสร้างความตระหนกในความรู้สึก เกิดความวิตกกังวลต่าง ๆ นา ๆ กรณีนี้หลายคนบอกว่า การนำโจทย์นั้นมาแยกย่อยเป็นขั้นตอนทำงาน โดยเริ่มตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนสิ้นสุด แล้วค่อย ๆ ดำเนินการให้ลุล่วงตามลำดับ นอกจากทำให้เห็นปัญหาได้ง่ายเพื่อแก้ไขทันท่วงทีแล้ว ความสำเร็จที่ค่อย ๆ คลี่คลายทีละขั้นนั้น ยังช่วยสร้างความมั่นใจได้ดี

นอกจากนั้น อุปสรรคอย่างหนึ่ง คือ การถูกดึงดูดจากกิจกรรมอื่น ๆ ทั้งจากสภาพแวดล้อมที่ไม่สงบ ยากต่อการสร้างสมาธิจดจ่อ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชะงักกลางคันได้ง่าย จึง ‘ควรเลี่ยงออกจากสิ่งล่อตาล่อใจ’ เพื่อให้การโฟกัสเป้าหมายเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และราบรื่นขึ้น

ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง คือ เราไม่สามารถเข้าเส้นชัยตราบใดที่ยังยืนอยู่ที่จุดสตาร์ทไม่เคลื่อนตัว ความสำเร็จก็เช่นกันต้องลงมือคิดทำจึงจะบรรลุผล!.

ขอขอบคุณทีมเดลินิวส์ออนไลน์

Read more ►

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

21 วิธีหยุดการผัดวันประกันพรุ่ง

0 ความคิดเห็น

“Eat That Frog” หรือ “กินกบตัวนั้นซะ”  เป็นหนังสือที่เขียนโดย Brian Tracy
ซึ่งเป็นนักเขียน นักพูด และนักฝึกอบรมด้านการพัฒนาตนเอง

หนังสือเล่มนี้เขียนบอกเล่าวิธี 21 วิธีหยุดการผัดวันประกันพรุ่ง
หากเราเลิกนิสัยผัดวันประกันพรุ่งได้เชื่อว่าเราจะประสบผลสำเร็จในทุกด้าน

โดย Brian Tracy สอนให้เราทำงานที่ยากที่สุด และสำคัญที่สุด อันดับแรกของการเลือกทำงานคือการดูที่เป้าหมายของเราก่อนว่า เรามีเป้าหมายในการใช้ชีวิตอย่างไร เพื่อที่จะเลือกทำแต่สิ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย

วิธีการเขียนเป้าหมายมีดังนี้
  • เขียนเป้าหมายลงบนกระดาษน เคยมีวิจัยว่าการเขียนเป้าหมายที่ชัดเจนทำให้คนประสบความสำเร็จได้มากกว่า
  • เขียนในรูปปัจจุบันเหมือนว่าเราได้ทำมันสำเร็จแล้ว
  • ใช้คำพูดในแง่บวก
  • เขียนโดยใช้สรรพนามบุรุษที่ 1 ว่า “ฉัน” อย่างโน้นอย่างงี้
  • แล้วก็เลือกมา 1 ข้อที่จะทำให้เกิดผลดีที่สุดต่อชีวิต
เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วเราก็จะรู้ว่าเราจะต้องทำอะไรต่อไปบ้างเพื่อให้เราไปถึงเป้าหมาย
โดยให้เราใช้เวลาในแต่ละวันวางแผนว่าวันพรุ่งนี้เราต้องทำ
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคนเราจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนอยู่แล้ว
แต่เพราะนิสัยการผัดวันประกันพรุ่ง  ทำให้ไปไม่ถึงเป้าหมาย
21 วิธีการเลิกนิสัยผัดวันประกันพรุ่ง มีดังนี้

1. จัดโต๊ะ : ตัดสินใจให้แน่นอนว่าคุณต้องการอะไร ความชัดเจนเป็นเรื่องสำคัญ เขียนเป้าหมายและจุดประสงค์ของคุณออกมาก่อนจะเริ่มลงมือ

2. วางแผนแต่ละวันเอาไว้ล่วงหน้า : คิดแล้วเขียนลงบนกระดาษ  เวลา 1 นาทีที่ใช้ไปกับการวางแผนสามารถประหยัดเวลาในการลงมือทำได้ 5-10 นาที

3. ใช้กฎ 80/20 กับทุกอย่าง : 20 เปอร์เซ็นต์ของกิจกรรมที่คุณทำจะก่อให้เกิดผลลัพธ์มากถึง 80 เปอร์เซ็นต์ จงทุ่มเทความพยายามให้กับงาน 20 เปอร์เซ็นต์อันมีค่านั้นเสมอ

4. คำนึงถึงผลลัพธ์ที่ตามมา : งานที่มีความสำคัญที่สุดคืองานที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดต่อ ชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงานของคุณ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบในแง่บวกหรือลบก็ตาม จงให้ความสนใจงานเหล่านี้มากที่สุด

5. ฝึกผัดวันประกันพรุ่งอย่างสร้างสรรค์ : เนื่องจากคุณไม่สามารถทำไปเสียทุกอย่างได้ คุณจึงต้องเรียนรู้ที่จะผัดผ่อนงานที่สำคัญน้อยออกไปก่อน เพื่อให้มีเวลามากพอที่จะทำงานไม่กี่อย่างที่มีความสำคัญอย่างแท้จริง

6. หมั่นใช้เทคนิค ABCDE อยู่เสมอ : ก่อนเริ่มทำงานต่างๆ ที่รอคุณอยู่ ให้ใช้เวลาสักครู่จัดประเภทงานตามลำดับความสำคัญ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าคุณกำลังทำสิ่งที่สำคัญสุดอยู่เสมอ

7. ให้ความสำคัญกับหน้าที่หลัก : ระบุให้ได้ว่า อะไรคือหน้าที่ที่คุณจำเป็นต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อให้งานโดยรวมได้ผลลัพธ์ ที่ยอดเยี่ยม แล้วลงมือทำหน้าที่นั้นไปตลอดทั้งวัน

8. ประยุกต์ใช้กฎทองสามประการ : ระบุงาน 3 อย่างที่ทำประโยชน์ให้บริษัทได้มากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ของงานทั้งหมดที่คุณทำ พุ่งเป้าไปที่การทำงานเหล่านั้นให้เสร็จก่อนงานอื่นๆ แล้วคุณจะมีเวลาให้กับครอบครัวและชีวิตส่วนตัวมากขึ้น

9. เตรียมการอย่างรอบคอบก่อนเริ่มงาน : ตระเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นไว้ให้พร้อมก่อนเริ่มงาน วางเอาไว้ในตำแหน่งที่หยิบใช้ได้สะดวก รวบรวมข้อมูล รายงาน บทความเครื่องมือ วัตถุดิบที่จำเป็นสำหรับการทำงานให้เสร็จและเบอร์โทรศัพท์ที่อาจต้องใช้ เพื่อให้คุณเริ่มทำงานและทำไปอย่างต่อเนื่องโดยไม่ติดขัด

10. จับตามองถังน้ำมันทีละถัง : คุณสามารถทำงานที่ยากและใหญ่ที่สุดให้สำเร็จได้ เพียงแค่ทำไปทีละขั้นตอนจนกว่าจะเสร็จ

11. พัฒนาทักษะสำคัญๆ ของคุณให้ดีขึ้น : ยิ่งคุณมีความรู้และมีทักษะในการทำงานชิ้นสำคัญมากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งลงมือเร็วขึ้นเท่านั้น แถมยังทำให้เสร็จได้เร็วขึ้นด้วย

12. นำความสามารถพิเศษของคุณมาใช้ไห้เกิดผล : ค้นหาว่าอะไรเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้ยอดเยี่ยม (หรือน่าจะทำได้เยี่ยม) แล้วทุ่มเททำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

13. มองหาข้อจำกัดของคุณ : ระบุจุดคอขวดหรือข้อจำกัดต่างๆ (ทั้งภายในและภายนอก) ที่เป็นตัวกำหนดว่าคุณจะบรรลุเป้าหมายที่สำคัญที่สุดได้เร็วหรือช้าแค่ไหน แล้วพยายามหาทางแก้ไข

14. สร้างแรงกดดันให้กับตัวเอง : จินตนาการว่าคุณต้องเดินทางไปต่างประเทศนานครึ่งเดือน แล้วทำราวกับว่าต้องสะสางงานสำคัญๆ ให้เสร็จทั้งหมดก่อนออกเดินทาง

15. เพิ่มพลังของคุณไปสู่จุดสูงสุด : ในแต่ละวัน ให้ค้นหาช่วงเวลาที่คุณมีพลังกายและพลังสมองสูงสุด แล้วทำงานที่สำคัญและยากที่สุดในช่วงเวลานั้น พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ทำงานได้อย่างเต็มความสามารถ

16. กระตุ้นตัวเองให้ลงมือทำ : ทำหน้าที่เป็นกองเชียร์ที่คอยให้กำลังใจตัวเอง มองหาแง่มุมดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกสถานการณ์ ให้ความสำคัญกับทางออกมากกว่าตัวปัญหา มองโลกในแง่ดีและคิดในทางบวกเสมอ

17. สลัดตัวเองให้พ้นจากกับดักเทคโนโลยี : ใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยให้การติดต่อสื่อสารดีขึ้น แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองตกเป็นทาสของมัน จงเรียนรู้ที่จะปิดอุปกรณ์สื่อสารแล้วปลีกตัวออกมาบ้าง

18. หั่นงานเป็นชิ้นๆ : ซอยงานที่มีขนาดใหญ่และซับซ้อนเป็นส่วนๆ แล้วจึงเริ่มต้นทำจากงานเล็ก นั้นไปทีละส่วน

19. สร้างช่วงเวลาขนาดใหญ่ : แบ่งเวลาในแต่ละวันออกเป็นช่วงๆ วางแผนการทำงานไปตามช่วงเวลาเหล่านั้นแล้วหาทางรวบช่วงเวลาเข้าด้วยกันเมื่อ ต้องการช่วงเวลาขนาดใหญ่สำหรับการทำงานที่สำคัญที่สุด

20. สร้างสำนึกแห่งความเร่งด่วน : สร้างนิสัยในการลงมือทำงานสำคัญๆ และทำให้เสร็จลุล่วงโดยเร็ว สั่งสมชื่อเสียงให้เป็นที่รู้จักในฐานะคนที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วและดี เยี่ยม

21. แน่วแน่กับงานทุกอย่างที่ทำ : จัดลำดับความสำคัญของงานให้ชัดเจน  เริ่มลงมือทำงานที่สำคัญที่สุดทันที และทำไปโดยไม่หยุดจนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ นี้คือกุญแจสำคัญที่แท้จริงสู่การทำงานที่ยอดเยี่ยมและเปี่ยมประสิทธิภาพ
Read more ►
 

Copyright © ไอเดียชีวิต Design by O Pregador | Blogger Theme by Blogger Template de luxo | Powered by Blogger