วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การตั้งเป้าหมาย..สมคิด ลวางกูร

0 ความคิดเห็น
มีโอกาสดีได้ฟังการบรรยายของคุณสมคิด ลวางกูร ที่มาบรรยายที่บริษัทในหัวข้อ การเขียนบันทึก

ช่วงนั้นเขาเพิ่งออกหนังสือประวัติของตัวเอง และออกรายการเจาะใจ

เคย อ่านหนังสือผลงานของเขามา ๒ เล่มคือ หยุดความเลวที่ไล่ล่าคุณ และ นโยบายพระกู้ชาติ ซึ่งเล่มแรกซึ้งมาก น้ำตาไหลเป็นระยะๆ เล่มที่สองเป็นแนวทางของพระพยอมที่จะกู้ศีลธรรมให้กลับมา
เวลาไปงานสัปดาห์หนังสือก็จะเห็นบูธเขาบ่อยครั้ง

วันนี้มาถึงที่ จะพลาดได้ไง

ไม่ผิดหวังครับ
เริ่ม แรกเขาก็เล่าประวัติชีวิตสุดขั้วของเขาก่อน ซึ่งไม่ตรงกับหัวข้อ คุณสมคิดบอกว่าต้องการปูพื้นผู้ฟังว่า อย่าคิดว่าการเขียนมีข้อจำกัด ก็เด็กวัด ต่ำต้อย แย่งอาหารสุนัขทาน ยังบันทึกเรื่องราวจนได้ดี ทำไมพวกเราจะทำไม่ได้

คุณสมคิดเป็นชาวสุพรรณบุรีครับ
เริ่มแรกเป็นเด็กวัด มีพระจากกรุงเทพฯ มาที่วัดและบอกว่า อยากประสบความสำเร็จต้องอ่านหนังสือมากๆ เด็กชายสมคิดก็ทำตามอย่างเคร่งครัด
ข้อเด่นของคุณสมคิดคือ ทดลองทำในสิ่งที่รับรู้อย่างเต็มที่ จนมาเห็นผล แล้วค่อยประเมินอีกที
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ครับ
หนังสือในวัดทุกเล่มจึงถูกเด็กชายสมคิดอ่านจนหมด

จน มาเจอหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตของเด็กน้อยนีกอ่าน เป็นหนังสือของ เดล คาร์เนกี้ ที่ไม่ทราบแม้ชื่อเล่ม เพราะหน้าแรกหายไป เปิดอ่านก็หน้าที่ ๑๑ แล้ว กระดาษกรอบ ต้องค่อยๆ เปิด
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้บอกไว้คือ คนเราจะประสบความสำเร็จต้องตั้งเป้าหมาย
แล้วคุณสมคิดก็อธิบายคุณลักษณะของเป้าหมายชีวิตที่ดี
สุดท้ายเขาตั้งเป้าหมาย ๕ ข้อ คือ
1. มีเงินหนึ่งล้านบาทภายในอายุ ๒๕ ปี
2. ต้องพูดภาษาอังกฤษได้
3. ต้องทำงานบนเครื่องบิน
4. ต้องไปต่างประเทศ
5. ต้องได้แฟนเป็นนางงาม

ลองคิดดูสิครับ เด็กวัดต่ำต้อย แย่งอาหารกันกิน กล้าที่จะฝันขนาดนี้ ถ้าเป็นคุณได้ยินเรื่องนี้จะคิดอย่างไร

ขั้น ตอนต่อไปในตำราของเดล คาร์เนกี้ บอกว่าให้ประกาศให้โลกรู้ถึงเป้าหมายในชีวิต เด็กชายสมคิดก็บอกให้เพื่อนเด็กวัดฟัง เป็นไปตามคาดเพื่อนทำหน้างงๆ

แต่เด็กชายสมคิดไม่งง ดำเนินการเพื่อให้ได้เป้าหมายในชีวิตอย่างแน่วแน่

ตอนแรกบวชเณรแต่ดูแล้วจะทำให้ห่างไกลเป้าหมายของชีวิตมาก
เลยออกมาชกมวย เพราะเห็นแชมป์โลก ชาติชาย เชี่ยวน้อย ชกได้เงินครั้งละเป็นแสน
แต่คุณแม่ขอร้องให้เลิก ก็ไม่ดื้อครับ เลิกชกมวย

แล้วก็เข้ากรุงเทพทำงานในห้องอาหาร แต่มาติดเหล้าและผู้หญิง คุณสมคิดเรียกว่าเป็นโรค ภูมิคุ้มกันความเลวบกพร่อง

แล้วก็เป็นแม่อีกที่ขอให้เลิก คุณสมคิดก็ทำตาม และแม่ฝากให้ทำงานที่การบินไทย ฝากกับเจ้านายของแม่ที่แม่ไปทำงานบ้านด้วย

ทำงานการบินไทย แล้วเปลี่ยนไปทำสายการบินต่างชาติ
ตอนแรกเขาให้ไปล้างห้องน้ำ เสียใจ ล้างห้องน้ำไป ร้องไห้ไป
จน ทางสายการบินเขาหาคนจัดการการบริการบนเครื่อง คุณสมคิดจึงไปสมัครเพราะเคยทำเมื่ออยู่การบินไทย แล้วก็จัดการได้ดี การงานเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำงานหนักจนเลือดออกทางจมูก เลยต้องหยุดพัก

กลับมาใช้ชีวิตเมืองไทย อกหักครับ เลยตั้งเป้าหมายใหม่อีกครั้ง ๕ ข้อ ของเดิมสำเร็จหมดแล้วนะครับ แม้แต่ข้อสุดท้าย มีแฟนเป็นนางงาม!

จำเนื้อหาห้าข้อหลังไม่ได้หมด จำได้เลาๆ ว่ามีเรื่องอยากมีชื่อเสียงเหมือนพี่เบิร์ด

ช่วง นี้คุณสมคิดเริ่มฝึกฝนการเขียน ฝึกไปเรื่อยๆ มีเกร็ดจากหนังสือขายดี Outlier ที่เคยได้ทราบมาว่า ต้อง ๑๐,๐๐๐ ชั่วโมงครับ สำหรับการฝึกฝน รับรองได้ดีแน่นอน
คุณสมคิดก็น่าจะฝึกถึงนะครับ วันหนึ่งบทความที่เขาเขียนเลยได้ลงหนังสือพิมพ์ ทำให้รู้ว่าสิ่งที่ฝึกฝนสัมฤทธิ์ผล

เรื่องที่ทำช่วงนี้คือปั้นนักพูด ปั้นนักเขียน จัด Event สุดท้ายก็เขียนหนังสือขายดีหลายเล่ม จนมีชื่อเสียงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

แนวคิดเด็ดๆ อีกเรื่องคือเมื่อชอบไปเที่ยวรีสอร์ท ก็ปรับปรุงบ้านให้กลายเป็นรีสอร์ทเสียเลย จะได้อยู่รีสอร์ททุกวัน
ช่วงนี้ชีวิตผมอยู่คอนโดก็เหมือนอยู่โรงแรมทุกวันเลยครับ บรรยากาศเป็นอย่างนั้น ไม่ค่อยเหมือนอยู่บ้านเลย แต่ก็ลงตัวในวิถีคนเมืองนะ

เทคนิคการเขียน เท่าที่จำได้ เช่น
ต้องตั้งชื่อเรื่องให้โดนใจ

หาแนวนักเขียนต้นแบบมาปรับใช้ ของคุณสมคิด เช่น
1. พิษณุ นิลกลัด ที่นำคำของกีฬาต่างชนิดมาใช้ปนกัน
2. หมู่โฮม ที่อ่านแล้วจะเดาตอนจบไม่ถูก
แล้วก็เอาจุดเด่นของนักเขียนที่คุณสมคิดชื่นชอบมาผสมรวมเป็นตัวเขา

ส่วนของเราน่ะหรือ นักเขียนต้นแบบโดนๆ คือ
1. หนุ่มเมืองจันท์ เขียนได้ไหลลื่น น่าอ่านมาก
2. พี่จิก-ประภาส ชลศรานนท์ ได้ความรู้ แนวคิดทุกครั้งที่อ่าน
3. จำลอง ฝั่งชลจิตร ถ้าเรื่องสั้นต้องคนนี้ครับ
4. พี่จุ้ย แกชอบยุให้ฝันบ่อยดี
5. นิ้วกลม คนรุ่นใหม่ที่บทบันทึกต่างๆ เข้าตา เข้าใจ มาก ชอบเวลาเขาเขียนแนวธรรมะเหมือนในเล่ม กัมพูชาพริบตาเดียว ครับ คมคาย ได้ใจ
ก็คงต้องจับทางแล้วนำมาปรับใช้กับเราครับ

เนื้อเรื่องก็ต้องน่าสนใจ พร้อมทั้งทิ้งท้ายให้คนอ่านได้คิดต่อด้วย

สุด ท้ายก็จบที่ทางธรรมครับ คุณสมคิดบอกว่าความสุขที่สุดก็ตอนได้มาปฏิบัติธรรมนี่แหละครับ เพื่อทราบครับท่านทั้งหลายที่แสวงหาความสุขกันอยู่

คติทิ้งท้ายจากชายคนนี้ "การออกกำลังกายที่ดีที่สุด คือการก้มช่วยเหลือคนที่ล้มลง"

นี่แหละครับ ชีวิตสุดขั้วของชายคนนี้ สมคิด ลวางกูร

ยินดีที่ได้รู้จักครับ ที่มา: http://www.oknation.net/blog/preephati/2009/12/24/entry-1
Read more ►

วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

7 อุปนิสัยสู่ความสำเร็จ

0 ความคิดเห็น
 นิสัยแห่งความสำเร็จ 7 ประการ Stephen Covey เชื่อว่า คนที่ต้องการประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิตอย่างแท้จริง จะต้องเริ่มจากการปลูกฝังนิสัยที่ถูกต้องให้กับตนเองก่อน ความสำเร็จต้องเกิดจากการเปลี่ยน แปลงจากภายใน (inside-out) ไม่ใช่จากการใช้เทคนิคต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความคิด ความเชื่อของเราจริง ๆ หากบุคคลคน ๆ หนึ่งเลียนแบบแค่เทคนิคการใช้อำนาจของผู้นำ การใช้น้ำเสียง การแบ่งแยก แล้วปกครอง ในขณะที่เขาขาดนิสัยภายใน เช่น ความกล้าหาญ ความเสียสละ และการตัดสินใจที่ดี ในที่สุดลูกน้องหรือคนภายนอกก็ย่อมจะมองออกอยู่ดี ไม่ช้าก็เร็ว ว่าเขาขาดความเป็นผู้นำ
ดังนั้น ความสำเร็จที่จีรังยั่งยืนจะต้องเกิดขึ้นจากการปลูกฝังนิสัยภายใน อันเป็นนิสัยที่จะเกื้อกูลให้เรามีความสำเร็จ เป็นสุข ซึ่ง Covey เห็นว่ามีอยู่ 7 ประการด้วยกัน คือ

1. นิสัย Proactive หรือ "การรู้และเลือกด้วยตนเอง"

 หมายถึงการไม่ยอมให้จิตใจของเราตกอยู่ใต้อิทธิพลของความเคยชินเดิม ๆ การไม่ตกเป็นทาสประสาทสัมผัสทั้ง 5 การไม่ถูกครอบงำ เราจะต้องเป็นผู้คิดตัดสินใจ และเลือกทุกอย่างอย่างมีสติด้วยตนเอง

2. Begin with the End in Mind หรือการมีเป้าหมายที่ชัดเจนแน่นอน

คนเราจะทำอะไรได้จนเป็นผลสำเร็จจะต้องมีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนแน่นอนไว้ในใจเสียก่อน แต่มนุษย์เราต้องมีเป้าหมายในใจด้วยว่า ตนนั้นต้องการเป็นคนที่มีนิสัยอย่าง ไร มีความคิดความเชื่ออย่างไร และมีหลักการอะไรที่สำคัญต่อ Covey แนะนำให้เราเลือกหาใส่ไว้ในใจคือ หลักการต่าง ๆ ในการใช้ชีวิตและภาพลักษณ์เกี่ยวกับนิสัยที่เราต้องการ เช่น ความซื่อสัตย์ จริงใจ จะไม่ยอมให้ลาภ ยศ เงินทอง ชื่อเสียง มามีอำนาจเหนือคุณสมบัติข้อนี้ได้ มองโลกในแง่ดี เมตตากับคนที่อยู่ในฐานะ ที่ด้อยกว่า ให้ความสำคัญกับความสงบภายในมากกว่าวัตถุ นิสัยอื่น ๆ ที่ท่านต้องการ

ในฐานะเราเป็น Programmer เริ่มเขียน software ให้ตนเอง Software ข้างต้นจะทำให้เราเป็นคนใช้ชีวิตอย่าง มีหลักการ (principle-centered) ทำให้เรามีเครื่องนำทางชีวิต มีแสงสว่างแห่งปัญญา ช่วยให้เรามีวิจารณญาณที่ดี จะคิดอะไร ทำอะไรก็มีพลังเพราะรู้ว่าเรากำลังทำตามหลักการที่เราเลือกด้วยตนเอง หลักการเหล่านี้จะบอกเราเองว่าเราจะเป็นผู้นำแบบไหน จะเลือกใช้เวลาอย่างไร จะเลี้ยงลูกอย่างไร ในแง่การประกอบอาชีพ เราก็จะรู้ว่าจะวางตัวอย่างไรในอาชีพที่เราเลือก

3. First Thing First หรือการบริหารเวลาให้ถูกต้อง

Covey เห็นว่าคนส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับเรื่องที่ไม่สำคัญ แต่เป็นเรื่องด่วน หรือไม่ก็ใช้เวลาไปกับการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่คนที่มีปัญญา จะต้องใช้เวลาให้มากกับเรื่องที่ไม่ด่วน แต่มีความสำคัญ อันได้แก่ การวางแผน และคิดยุทธศาสตร์ การคิดถึงอนาคต และการคิดป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นแทนที่จะไปไล่ตามแก้ไขปัญหาทีละข้อ

4. นิสัยการคิดแบบ win/win

คือการมีความคิด มีการกระทำที่ตั้งอยู่บนหลักการแบ่งปันผลประโยชน์ให้คนอื่นด้วย ไม่ใช่คิดแค่ผลประโยชน์ของตน และสนใจแต่ความคิดของตนเองโดยไม่แคร์ความรู้สึกของคนอื่น การมองโลกแบบ win/win เป็นพื้นฐานสำคัญของการไว้วางใจซึ่งกันและกัน (trust) เกี่ยวกับโลกนี้ Covey เห็นว่า ชีวิตคนเราเสียเวลาไปมากมายที่จะแก้ไขความเข้าใจผิด ปัญหาทะเลาะเบาะแว้งระหว่างบุคคลในที่ทำงาน ในครอบครัว นอกจากนี้ คนเรายังเสียเวลาไปมากกับการเรียนรู้ศาสตร์ แห่งการเป็นผู้นำ การพูด การเจรจา เพื่อทำให้คนอื่นเข้าใจเรา ยอมทำตามเงื่อนไขที่เราต้องการ win/win ตรงกันข้ามกับนิสัยเอารัดเอาเปรียบคนอื่น หรือวิธีคิดตายตัวว่า ถ้าฉันถูก-เธอต้องผิด ถ้าเธอได้ประโยชน์-ฉันต้องเสียประโยชน์ การคิดแบบ win/win นี่เองที่เป็นพื้นฐานของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นปัจจัยให้เราเป็นที่เคารพ ชื่นชอบของคนรอบข้าง เป็นสิ่งที่จะทำให้เราเป็นนักเจรจา นักการขายที่ประสบความสำเร็จ และจะทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับคนทุกประเภทรวมทั้งบุคคลในครอบครัวมีความราบรื่น เป็นสุข คนเราพอมีความไว้วางใจกัน จะพูดจาผิดหูไปบ้าง ทำอะไรผิดไปบ้าง อีกฝ่ายก็พร้อมที่จะรับฟังและให้อภัย

5. หัดเข้าใจคนอื่น ก่อนที่จะเรียกร้องให้คนอื่นมาเข้าใจตน

การสื่อสารเป็นทักษะที่มีความสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งใน การดำเนินชีวิตแต่มนุษย์ 90 เปอร์เซ็นต์ ในโลกต่างก็เข้าใจผิดคิดว่า communication skills คือความสามารถในการพูด การให้ความเห็น การวิพากษ์วิจารณ์ แต่ลืมไปว่า communication skills ที่สำคัญประการ หนึ่งคือ "การฟัง" เมื่อกล่าวเช่นนี้ หลายคนจะต้องสงสัยในทันทีว่า มีใครที่ไหนจะไม่รู้จักการฟัง แต่การฟังที่ Covey หมายถึง คือ ฟังให้รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งคิดอะไร มีความต้องการอะไร มีปัญหาอะไร มีความรู้สึกตอนพูดอย่างไร คนเรามี tactic ในการฟังหลายประเภท เช่น แกล้งทำเป็นฟัง แต่คิดเรื่องอื่น ในขณะทำเป็นตั้งใจฟังใจก็คิดว่าเราจะพูดโต้ตอบอย่างไร แต่การฟังที่ดี จะต้องอาศัยการทำงานของทั้งสมองด้านซ้าย และสมองด้านขวา ใช้สมองด้านซ้ายฟัง เพื่อเก็บข้อมูลที่เป็นคำพูดใช้สมองด้านขวาฟัง เพื่อหยั่งความรู้สึก ความต้องการลึก ๆ ของอีกฝ่าย การฟังที่ถูกวิธีจะทำให้เราหลีกเลี่ยงแนวโน้มที่จะเอาความคิด ความรู้สึกของตนเองเป็นที่ตั้ง โดยคิดเอาเองว่ามนุษย์คนอื่นเขา ก็คิดเหมือนเรา และยังทำให้เราสามารถให้คำแนะนำ ตีความ แก้ปัญหาให้คนอื่น ๆ อย่างตรงกับความต้องการ และความรู้สึกของอีกฝ่ายจริง ๆ ที่คนเราขัดแย้งกัน ก็เพราะไม่เข้าใจความคิด ความรู้สึกของกันและกัน ดังนั้น การตั้งใจฟังจะช่วยสร้างความเข้าใจและความสมานฉันท์ระหว่างกันได้

6. การยอมรับความแตกต่างของคนอื่น


นิสัยการยอมรับความแตกต่างของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางความคิด นิสัยใจคอ เป็นเงื่อนไขที่จะทำให้ คนเราสามารถทำงานร่วมกัน ได้เป็นทีม ขณะนี้ใน Business School ทั่วอเมริกามีการจัดระบบการทำงานของนักศึกษา ให้ทำรายงานเป็นทีม เสนอ presentation เป็นทีม และมีกำหนดการให้นักศึกษาไปทำการบ้านร่วมกันเป็นทีม เพื่อปลูกฝังนิสัยสามารถ ทำงานร่วมกับคนอื่นให้กับนักธุรกิจ รุ่นใหม่ ที่เป็นเช่นนี้เพราะ คนอเมริกันมีความเชื่อในเรื่อง Synergy หรือการที่พลังความคิดของคน 2 คน รวมกันแล้วจะได้ผลดีกว่าให้คน 2 คน ไป ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างทำงาน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในสูตรคณิตศาสตร์ปรกติแล้ว 1+1 เท่ากับ 2 แต่ในสูตรของ synergy นั้น 1+1 มากกว่า 2 เสมอ และยิ่งเมื่อสามารถทำงานกันเป็นทีมหลาย ๆ คน ผลลัพท์ที่ได้ก็จะยิ่งใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบมากขึ้น

7. นิสัยการแบ่งเวลาเพื่อใช้ในการฟื้นฟูพลังชีวิต

มนุษย์ เราที่ประกอบกิจการต่าง ๆ จนประสบผลสำเร็จได้ ก็เพราะใช้พลัง 4 ประการคือ พลังกาย พลังใจ พลังความคิด และพลังจิต พลังเหล่านี้ มีอยู่ก็หมดไปได้ หรือถึงจะมีอยู่มาก แต่คนอื่นก็อาจจะก้าวตามทัน หรือแซงหน้าเราไปได้ ทำให้เราอาจจะประกอบการงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม หรือทำได้เหนือคนอื่นอีกต่อไป ดังนั้น Covey จึงเน้นให้คนเรารู้จักฟื้นฟูพลัง ดังนี้ พลังกาย ฟื้นฟูด้วยการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง ดูแลสุขภาพและออกกำลังกาย พลังใจ คือใช้เวลาพัฒนาความสัมพันธ์กับสมาชิก ครอบครัว เพื่อนฝูงบ้าง อย่างน้อยก็เพื่อไม่ให้ความสัมพันธ์กับคนเหล่านี้เกิดปัญหาให้เราต้องมาตามแก้ในภายหลัง และเพื่อให้เราได้รับความรัก ความเอื้ออาทร และความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง อย่าลืมว่ามนุษย์เราอยู่ในสังคมที่พึ่งพาอาศัยกัน ไม่มีใครมีชีวิตอยู่คนเดียวได้ในโลก พลังความคิด คือการหมั่นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อก้าวให้ทันโลก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน พลังจิต คือหมั่นแสวงหาความรู้ที่นำมาซึ่งความสงบภายในหรือหมั่นทำสมาธิภาวนาบ้าง เพื่อให้จิต มีกำลังแข็งแกร่ง รับสภาพต่าง ๆ ได้ในทุกสถานการณ์


Read more ►

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปัญหาชีวิต

0 ความคิดเห็น
 เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 55 ผมตื่นประมาณ 6.00 น. อากาศเย็น สายลมพัดวิวๆ ขนแขนผมลุกซู่ ผมรู้สึกแปลกๆมากครับ และแล้วผมก็ออกเดินทางไปทำงาน

  ผมเดินทางมาถึงห้องพักเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับการทำงานของผมที่ห้องพัก แรกเริ่มผมเดินไปเปิดประตู ใช้ลูกกุญแจไขทุกลูกแล้วก็ยังเปิดไม่ได้ ลักษณะคือผมบิดลูกบิดได้แต่เปิดประตูห้องไม่ได้

 แต่จู่ๆบิดไปบิดมาก็เปิดได้เอง ผมดีใจมากเพราะมันสายมากแล้ว ผมรีบไปแต่งตัว เปลี่ยนเสื้อผ้า จับมือถือยัดใส่กระเป๋ากางเกงข้างซ้าย เดินออกมาทำงาน แต่ประตูล็อคครับ ซีวิตโคตรบัดซบเลย

  ผมพยายามเปิด ทั้งบิด งัด แคะ แต่ก็ไม่สามารถเปิดประตูได้  ผมตัดสินใจทุบชะเละเลย แล้วผมก็ต้องไปซื้อลูกบิดราคา 250 บาทมาเปลี่ยน

 ปัญหาชีวิตผมคือเปลี่ยนลูกบิดไม่เป็นครับ เตือนร้อนพี่ช่างให้มาช่วยเปลี่ยนและสอนให้ เฮ้อ ขอบันทึกไว้กันลืมแล้วกันครับ สำหรับวิธีเปลี่ยนลูกบิด เผื่อใครได้มีโอกาสเปลี่ยนเองงเหมือนผมบ้าง


1.การถอดลูกบิดออกจากประตู เริ่มด้วยการหารูเล็กๆ ที่บริเวณมือจับ (ลูกบิด) ด้านใน
จากนั้นให้ใช้คลิปหนีบกระดาษ ตะปูหรือแผ่นโลหะปลายแหลมขนาดเล็กที่ให้มาพร้อมกับ
ลูกบิดประตูตัวใหม่ (ถ้ามี) แล้วกดลงไปในรูเพื่อให้แกนล็อคลูกบิดคลายตัวออก


2.จากนั้นค่อยๆ ใช้มือดึงหัวลูกบิดออกมาจากกระบอกแกน แล้วจึงใช้ไขควงปาก แบนค่อยๆ
งัดที่ฝาครอบปิดฐานเพื่อเปิดออก)
[ฝาครอบบางรุ่นจะมีเกลียวในตัว ดังนั้นจึงต้องลองหมุนฝาครอบเพื่อคลายเกลียวดูก่อน ถ้าเราใช้ไขควงงัดแรงเกินไปฝาครอบอาจเสียหายได้]


3.ถอดตะปูเกลียวที่แผ่นปิดขอบออกด้วยไขควงแบบหัวสี่แฉกแล้วจึงดึงมือจับ ด้านนอกออกมาจากประตู


4.จากนั้นก็ใช้ไขควงมาถอดแป้นสลักกลอนออกจากช่องที่ขอบประตูเป็นขั้นตอนสุดท้าย ในการถอดลูกบิดตัวเก่าออกจากประตู

ส่วนวิธีการใส่ลูกบิดตัวใหม่นั้นก็มีขั้นตอนไม่ต่างไปจากการถอดลูกบิดออกจาก บานประตู
เพียงแต่เราทำตามขั้นตอนที่กล่าวมาโดยย้อนกลับไปเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการ ใส่แปลลักกลอนตัวใหม่กลับเข้าที่ช่องขอบประตู
จากนั้นใส่กระบอกแกนพร้อมลูกบิดจาก ด้านนอก แล้วจึงมายึดแผ่นปิดขอบด้านในด้วยตะปูเกลียว
จากนั้นก็ใส่ฝาครอบและหัวลูก บิดด้านในเพื่อความเรียบร้อยสวยงาม
และเมื่อติดตั้งเสร็จแล้วก็ให้ทดลองไขกุญแจแล้วขยับไปมาเพื่อตรวจหาข้อบกพร่องต่างๆ อีกครั้ง

นอกจากนี้วิธีการถอด - ใส่ลูกบิดประตูดังกล่าวยังสามารถใช้แก้ไขลูกบิดที่ชำรุด อาทิ ลูกบิดหลวม
ฝาครอบหลุดจากกระบอกแกนหรือรูกุญแจติดขัดได้ดีอีกด้วย

Read more ►

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตัวอย่างการคิดเชิงยุทธศาสตร์

0 ความคิดเห็น
ข้อความจากบทความเจาะจุดแข็ง "ชัยชนะในทางยุทธวิธีนั้นไม่มีทางชดเชยความเสียหายด้านยุทธศาสตร์ได้" จะเห็นได้ว่าการคิดเชิงยุทธศาสตร์มีความสำคัญยิ่งยวด การดำเนินชีวิตหากอยากประสบความสำเร็จ มีความสุข ร่ำรวยเงินทอง ต้องฝึกคิดเชิงยุทธศาสตร์(ความเห็นส่วนตัวครับ) เช้าวันอาทิตย์ผมจึงลองค้นหาจาก google เพื่อดูหลักการ ตัวอย่าง การคิดเชิงยุทธศาสตร์ ผมได้เจอบทความชื่อ รัฐบาลอยู่นาน…..ถ้าคิดเชิงยุทธศาสตร์ จากเวบไซต์ไทยโพส เขียนโดยศ.นพ.ประเวศ วะสี




1.ถ้าคิดด้วยอารมณ์ เอามันสะใจ เสี่ยงต่อการเกิดมิคสัญญีกลียุค
       สังคม ไทยที่กำลังร้อนระอุด้วยพายุอารมณ์แห่งความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ความต้องการเอาคืน สุ่มเสี่ยงต่อการเดินเข้าไปสู่จุดพลิกผัน (Tipping Point) ที่เกิดมิคสัญญีกลียุค การคิดเชิงยุทธศาสตร์หมายถึงการคิดด้วยปัญญา รู้เท่าทันว่าทำอะไรแล้วจะเกิดอะไร แล้วทำตามยุทธศาสตร์ ไม่ทำตามอารมณ์รักหรือชัง ให้บ้านเมืองบรรลุเป้าหมายที่ดี ผมยกตัวอย่างการคิดเชิงยุทธศาสตร์ 2 ตัวอย่าง หลายครั้งแล้ว คือ
      หนึ่ง เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงหมาดๆ อังกฤษมีการเลือกตั้งทั่วไป คนอังกฤษรักเชอร์ชิลล์ ซึ่งเป็นวีรบุรุษสงคราม แต่ไม่เลือกเชอร์ชิลล์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะรู้ว่าถ้าเชอร์ชิลล์กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีจะไม่ปล่อยอินเดียเป็นอิสระ อังกฤษจะต้องไปทำสงครามกับอินเดียอีก ซึ่งคนอังกฤษไม่ต้องการ เขาจึงโหวตเชิงยุทธศาสตร์ ไม่เอาอารมณ์รักเชอร์ชิลล์มาเป็นเกณฑ์
      สอง กองทัพแดงของเหมาเจ๋อตงเกลียดเจียงไคเช็กเข้าไส้ เพราะเมื่อคราวเดินทัพทางไกลขึ้นไปสู่เยนาน เจียงไคเช็กส่งกองทัพมาไล่ฆ่าพลพรรคแดงตายไปตั้งครึ่ง เมื่อนายพลจางโซเหลียงฝ่ายคอมมิวนิสต์จับเจียงไคเช็กได้ที่เมืองซีอาน แทนที่จะฆ่าเจียงไคเช็กให้สมกับความแค้น โจวเอินไหลกลับเป็นผู้มาปล่อยเจียงไคเช็กด้วยตนเอง เพราะยุทธศาสตร์คือ รวมตัวกันเอาชนะญี่ปุ่น ไม่ใช่ฆ่าเจียงไคเช็กด้วยอารมณ์ นี่คือการคิดเชิงยุทธศาสตร์
 คนไทยใช้อารมณ์รัก ชัง ต่อสู่กันไปมาเกือบ 100 ปีแล้ว ถึงเวลาที่ทุกฝ่ายน่าจะคิดเชิงยุทธศาสตร์ให้บ้านเมือง ถ้าข้ามมิคสัญญีกลียุค เกิดประชาธิปไตยที่แท้จริงและความสงบสุข

2.ตามสภาพความเป็นจริง…เครือข่ายทักษิณทรงพลังมหาศาล
      การ คิดเชิงยุทธศาสตร์ต้องดูสภาพความเป็นจริง ไม่ใช่ตามที่ควรเป็นหรืออยากให้เป็น ตามสภาพความเป็นจริงเครือข่ายทักษิณทรงพลังมหาศาลโดยเฉพาะหลังรัฐประหาร 2549 ทักษิณเป็นผู้นำคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ภายหลังถูกรัฐประหาร แล้วสามารถต่อสู้เอาชนะกลับมามีอำนาจได้อีก พลังมหาศาลที่ว่านี้ประกอบด้วย
 (1) พรรคการเมือง คือ พ.ท. เพื่อการต่อสู้ในระบบรัฐสภา
 (2) มวลชนคนเสื้อแดง
 (3) อาจได้รับการสนับสนุนจากกองกำลังติดอาวุธ
 (4) อำนาจการสื่อสารทั้งในประเทศและต่างประเทศ
 (5) สามารถว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์และทนายต่างประเทศเพื่อการสนับสนุนทางสากล
 (6) กำลังทรัพย์มหาศาลที่อยู่เบื้องหลัง
 ทั้งหมดรวมกันเป็นพลังต่อสู้อันมหาศาล ที่ไม่มีฝ่ายใดทนได้

      ฉะนั้น เมื่อกองทัพทำรัฐประหาร 2549 ก็ดี เมื่อพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลช่วง 2-3 ปีก่อนก็ดี จึงเผชิญกับพลังต่อสู่อันมหาศาลนี้ เกิดความรุนแรงจนมีคนไทยต้องบาดเจ็บล้มตาย เกิดบาดแผลทางสังคมกันต่อมา ในที่สุดพรรคเพื่อไทยก็ชนะเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาลในปัจจุบัน นี้พูดตามสภาพความเป็นจริงของการต่อสู้ ไม่ได้พูดเชิงศีลธรรมว่าใครผิดใครถูกอย่างไร

3.ตามตรรกะ…เมื่อเพื่อไทยเป็นรัฐบาล บ้านเมืองควรจะสงบ
      เมื่อ ฝ่ายที่มีกำลังมากชนะแล้วทำการปกครอง บ้านเมืองก็ควรสงบ เหมือนเมื่อเสือ 2 ตัว ต่อสู้กันเพื่อแย่งกันเป็นจ่าฝูง เมื่อกำลังยังคือๆ กัน การต่อสู้ก็รุนแรงยืดเยื้อ เลือดตกยางออก แต่เมื่อตัวหนึ่งชนะ ตัวที่แพ้ตายไปหรือหนีไป ก็เกิดความสงบ
     ตามปกติฝ่ายที่เป็นรัฐบาลย่อมไม่อยากให้เกิดความรุนแรง ถ้าเกิดความรุนแรงขึ้นไม่ว่าเพราะเหตุใด รัฐบาลจะเป็นฝ่ายลำบาก
     การ คิดเชิงยุทธศาสตร์ตรงนี้ก็คือ ไม่ควรมีการคิดล้มรัฐบาล ไม่ว่าด้วยการรัฐประหาร หรือวิธีใดอื่น เพราะพลังต่อสู้ของเครือข่ายทักษิณอันมหาศาล 6 ประการยังคงอยู่ ก็จะเกิดการต่อสู้รุนแรงเหมือนช่วง 2551-2553 อีก หรือแรงกว่า
     รัฐบาลก็ ไม่ควรกลัวว่าใครจะมาล้มรัฐบาลได้ ถ้ากลัวคนอื่นจะมาล้มรัฐบาล จะทำให้วางยุทธศาสตร์ผิด รัฐบาลที่มีกำลังขนาดนี้คนอื่นล้มไม่ได้ จะล้มก็เพราะตัวเอง การต่อสู้เพื่อเอาชนะกับการบริหารชัยชนะเพื่อรักษาอำนาจและเพื่อประโยชน์ของ บ้านเมือง ไม่เหมือนกัน จะกล่าวถึงเรื่องนี้ในตอน 5 คนในเครือข่ายรัฐบาลควรจะคิดเชิงยุทธศาสตร์ว่าถ้าไปทำอะไรที่ก่อให้เกิดความ รุนแรง รัฐบาลจะลำบาก

4.เมื่อไม่ควรคิดล้มรัฐบาล ก็ควรคิดช่วยให้รัฐบาลทำงานได้ผล
      ถ้า คิดตามตรรกะ ว่าไม่ควรคิดล้มรัฐบาล ก็หมายถึงรัฐบาลจะอยู่นาน ถ้ารัฐบาลอยู่นานแล้วสามารถทำงานได้ผล บ้านเมืองก็ดีขึ้น แต่ปัญหาปัจจุบันทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความซับซ้อนและยากยิ่ง ไม่มีรัฐบาลใดๆ สามารถทำงานให้สำเร็จได้ด้วยการใช้อำนาจแบบเดิมๆ โดยปราศจากความรู้และการมีส่วนร่วมของสังคม ยามวิกฤติคนไทยทุกภาคส่วนควรจะรวมตัวกันก้าวข้ามสภาวะวิกฤติให้ได้ รัฐบาลเองก็ควรจะตระหนักรู้ว่าถ้าต้องการอยู่ให้ได้นานและทำงานได้ผล ไม่สามารถทำโดยใช้อำนาจอย่างเดียว แต่ต้องเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง ต่อไปนี้เป็นหลักการ 7 ประการที่คนไทยควรจะมีความมุ่งมั่นร่วมกัน
 (1) อนาคตของประเทศไทยต้องมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างความเป็นธรรมและลดความ เหลื่อมล้ำ คนไทยทุกคนจะต้องมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน
 (2) การจะสร้างความเป็นธรรมได้ คนไทยต้องมีจิตสำนึกใหม่ และมีการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ
 (3) การคิดเชิงอำนาจและโครงสร้างอำนาจ ทำให้สังคมไทยอ่อนแอทางปัญญา ไม่มีสมรรถนะพอที่จะเผชิญกับความซับซ้อนและความยากของสังคมปัจจุบันได้ เสี่ยงต่อการเกิดสภาวะรัฐล้มเหลว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่ใครจะแก้ไขได้ง่ายๆ ถ้าไม่ร่วมกันทำความเข้าใจอย่างจริงจัง
 (4) การกระจายอำนาจไปให้ชุมชนจัดการตนเอง ท้องถิ่นจัดการตนเอง และจังหวัดจัดการตนเองให้ได้มากที่สุด จะลดความตึงเครียดของประเทศ ลดภาระหนักอึ้งของรัฐบาลและราชการในส่วนกลางลง เปิดโอกาสให้ทำงานมีคุณภาพมากขึ้น
 (5) ความยากจนและความอยุติธรรมในสังคมจะแก้ไขไม่ได้ ถ้าไม่ปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูประบบภาษี และการจัดการใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน ปฏิรูประบบความยุติธรรม บ้านเมืองจะไม่มีวันสงบสุขถ้าเราไม่สามารถแก้ความยากจนและความอยุติธรรมใน สังคมได้
 (6) ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ซึ่งไม่มีใครทำได้ นอกจากประชาชนตื่นตัวทางการเมืองและเข้ามามีบทบาทในการปฏิรูป ฉะนั้นอย่าไปตกอกตกใจกับการที่ประชาชนกำลังมีความตื่นตัวทางการเมือง ไม่ว่าจะสีแดง สีเหลือง สีอะไรๆ หรือไม่มีสี ในที่สุดประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมืองจะค้นพบเองว่าเขาต้องปฏิรูปโครงสร้าง อำนาจ บ้านเมืองจึงจะเกิดความสงบสุข ไม่ตกเป็นเบี้ยของการแย่งชิงอำนาจในส่วนบน ซึ่งยัดเยียดความตายมาสู่เขา และไม่เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงแก่ประชาชน
      คนไทยต้องไม่โกรธไม่เกลียด ประชาชนที่ตื่นตัวทางการเมืองเหล่านี้ ไม่ว่าเขาจะรักหรือเกลียดทักษิณ ไม่ว่าเขาจะนิยมหรือไม่นิยมสถาบัน คนเราต่างจิตต่างใจ มีเหตุปัจจัยและพื้นฐานต่างๆ กันไป ที่จะรักหรือไม่รักใครหรืออะไร เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง ไม่ควรจะเอามาเป็นเหตุที่ทำให้คนไทยต้องฆ่ากัน ที่สำคัญกว่าคือ ทุกคนล้วนเป็นเพื่อนมนุษย์ เป็นเพื่อนคนไทยของเรา ลูกหลานของเราจะต้องสามารถอยู่ร่วมกันบนแผ่นดินนี้อย่างมีเกียรติและมีความ สุข
 เปลี่ยนมุมมองจากความเกลียดชังเป็นความรักเพื่อนมนุษย์ แผ่นดินจะเย็นลง
 (7) ระบบการศึกษาและระบบการสื่อสารควรจะเป็นเครื่องมือสร้างความเข้มแข็งทาง เศรษฐกิจ จิตใจ สังคม และสติปัญญาให้คนทั้งชาติ จำเป็นต้องได้รับการปฏิรูปให้เป็นพลังที่พาชาติออกจากวิกฤติได้อย่างรวดเร็ว ลำพังนักการศึกษาคงจะทำไม่ได้ แต่ต้องอาศัยคนไทยทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน
      หลัก 7 ประการข้างต้นล้วนเป็นเรื่องยาก ไม่มีรัฐบาลใดๆ ไม่ว่าจะเก่งเท่าใด จะทำได้ตามลำพัง ต้องอาศัยการขับเคลื่อนทางปัญญาและขับเคลื่อนทางสังคมเข้ามาบรรจบกับการใช้ อำนาจรัฐ ที่เรียกว่า “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” ภูเขานี้ถ้าเขยื้อนได้ ประเทศไทยจะสงบสุข จึงไม่ควรที่ทุกฝ่ายจะนิ่งดูดาย ให้รัฐบาลตะเกียกตะกายไปตามลำพัง เพราะถ้ารัฐบาลล้มเหลว บ้านเมืองของเราก็ล้มเหลว
 การร่วมมือกับรัฐบาลไม่ได้หมายความว่าไม่มีการตรวจสอบความถูกต้อง

5.การบริหารชัยชนะยากกว่าการบริหารการต่อสู้…ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล
      แม้ ฝ่ายรัฐบาลจะมีพลังเหนือคู่ต่อสู้มากดังที่กล่าวในตอน 2 ก็อย่าประมาท เพราะการบริหารชัยชนะยากกว่าการบริหารการต่อสู้ เพราะในการต่อสู้ทุกคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ แต่เมื่อชนะแล้วต้องแบกภาระในการบริหารบ้านเมืองให้ได้ผลซึ่งยาก และฝ่ายต่างๆ ที่ร่วมต่อสู้ด้วยกันมาก็มีความคาดหวังต่างๆ กัน เช่น บางคนหวังผลตอบแทนในเรื่องตำแหน่งและผลประโยชน์ ทำให้ต้องประนีประนอมในเรื่องสมรรถนะในการทำงาน ทำให้รัฐบาลอ่อนแอ
     ตัวอย่าง ในประวัติศาสตร์มีมากมายที่ฝ่ายที่ชนะในการต่อสู้ไม่สามารถรักษาอำนาจไว้ได้ เช่น จิ๋นซีฮ่องเต้ ผู้ปราบแคว้นทั้ง 7 ได้รวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่งเดียว ต้องมีพลังมหาศาลจึงทำเช่นนั้นได้ และหวังว่าราชวงศ์ของพระองค์จะดำรงอยู่ได้หมื่นปี แต่อยู่ได้ 15 ปีก็เจ๊งแล้ว หรือเขมรแดงยึดอำนาจได้มาบริหารประเทศก็ไปไม่รอด ตัวอย่างอื่นๆ ยังมีอีกมาก
     ไม่ควรมีคนมาคิดล้มรัฐบาล แต่รัฐบาลต้องระวังอย่าให้ล้มเพราะตัวเอง ฝ่ายเสนาธิการของรัฐบาลและคุณทักษิณควรจะคิดเชิงยุทธศาสตร์ว่าจะใช้อำนาจที่ มีในทางที่ถูกต้องที่ควรอย่างไร ถ้าคิดเพื่อตัวเองก็ไม่คุ้ม และจะแพ้ แต่ถ้านำพลังมหาศาลที่มีมาสร้างความถูกต้องเป็นธรรม รัฐบาลก็จะอยู่ได้นาน ผู้คนสรรเสริญ
   การคิดชิงยุทธศาสตร์นี้ขอฝากไว้กับเพื่อนคนไทยทุกภาคส่วน.
Read more ►

วันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เจาะจุดแข็ง

0 ความคิดเห็น
 โบราณกล่าวไว้ว่า "มือเดียวต้านพายุสี่ด้านไม่ไหว" แม่้ทัพคนเดียวไม่อาจต้านศึกสองด้านได้ เวลาสู้รบจัดต้องรวมศูนย์กำลังทั้งหมดไปที่จุดเดียว เพื่อสลัดสถานะในการตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทิ้ง

หากท่านได้เคยอ่านนิยายสามก๊ก จะพบว่าทั้งสามก๊กล้วนช่วงชิงสถานะในการใช้สองต่อหนึ่ง ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์รวมแล้วแยก แยกแล้วรวม ประเดี๋ยวมิตร ประเดี๋ยวศัตรู วนเวียนไปจนรวมเป็นหนึ่งก๊ก

ตัวอย่างที่เห็นเด่นขัดที่สุดก็เป็นตอนที่กวนอูต้องเสียชีวิตจากการดำเนินนโยบายผิดพลาดเกี่ยวกับการช่วงชิงสถานะสองต่อ 1 ขอเล่าย่อๆดังนี้ครับ

หลังจากที่เล่าปี่ตีโจโฉพ่ายในศึกชิงเมืองฮันต๋ง เล่าปี่ได้ครองเมืองเกงจิ๋วและเมืองเสฉวนส่งผลให้เล่าปี่มีอิทธิพลมากขึ้นทุกวัน ทุกวัน โจโฉจึงต้องดำเนินการสองต่อหนึ่งโดยการส่งทูตไปเจรจากับซุนกวนโดยอ้างพระราชโองการว่าให้ยกทัพไปตีเสฉวน

ฝ่ายซุนกวนหลังจากได้เจรจากับทูตของโจโฉแล้ว ได้ข้อสรุปว่า การผูกมิตรกับโจโฉไม่สู้ดีนักเพราะเจตนาโจโฉเพียงต้องการให้ซุนกวนช่วยโจมตีเล่าปี่ แต่ปัญหาเรื่องที่เล่าปี่ให้กวนอูคุมเมืองเกงจิ๋วก็เป็นปัญหาที่หนักอกเช่นกัน

ดังนั้นแล้วด้วยความละเอียดรอบครอบของซุนกวน จึงยังไม่ตัดสินใจ และได้ส่งทูตของโจโฉกลับอย่างมีมารยาท และในขณะเดียวกันก็ส่งจูกัดกิ๋นไปขอหมั้นลูกสาวกวนอูให้กับลูกชายของตน  จะได้ถือโอกาสนี้สืบลาดเลาของกวนอู

ดังคำกล่าวที่ว่า "ชัยชนะในทางยุทธวิธีนั้นไม่มีทางชดเชยความเสียหายด้านยุทธศาสตร์ได้" กวนอูแม้ปราดเปรื่อง ในทางการยุทธ มีความสามารถในการรบที่ไม่เป็นรองใคร กลับดำเนินงานด้านยุทธศาสตร์ที่ทำให้ตัวเองเริ่มก้าวสู่ฐานะการเป็นฝ่ายถูกกระทำทีละก้าวๆ จนกระทั่งในที่สุดก้ก้าวสู่หนทางแห่งความหายนะ เสียทั้งเมืองและชีวิต  

กวนอูแม้เก่งกาจในการใช้ง้าว สู้รบในสนามรบไม่เคยแพ้ใคร แต่ในครั้งนี้กวนอูมองไม่เห็นสถานการณ์ส่วนรวมทั้งหมด เมื่อจูกัดจิ๋นเอ่ยถึงเรื่องขอลุกสาวกวนอุไปเป็นสะใภ้ซุนกวน กวนอูโมโหมาก โกรธเป็นฝืนเป็นไฟ พร้อมเหยียดหยามซุนกวนว่า"ลูกพยัคฆ์ของข้าหรือจะลดตัวไปแต่งงานกับลูกหมา" ด้วยเหตุนี้ซุนกวนตัดสินใจเข้าร่วมโจโฉ บุกโจมตีเกงจิ๋วโดยทันที

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เพราะผมเองชอบสามก๊กอยู่แล้ว และวันนี้ผมได้ไปอ่านหนังสือเรื่องเจาะจุดแข็ง เป็นงานเขียนของ MARCUS BUCKINGHAM และ DONALD O. CLIFTON, Ph.D.ผมเห็นว่ามันเข้ากับคำกล่าวที่ว่า"แม่ทัพคนเดียวไม่อาจต้านศึกสองด้านได้ เวลาสู้รบจักต้องรวมศูนย์กำลังทั้งหมดไปที่จุดเดียว เพื่อสกัดสถานะในการตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบทิ้ง"  ในการพัฒนาตนเองหรือการพัฒนางานเราเองก็ไม่อาจพัฒนาทุกเรื่องได้ หรือไม่อาจกำจัดจุดอ่อนในทุกๆเรื่อง เราควรเน้นการพัฒนาจุดแข็ง ปิดจุดอ่อนให้พอไม่ทำให้เกิดความเสียหายก็พอ เพราะหากเรามัวกำจัดจุดอ่อน เราอาจจะเสียทั้งเงินและอนาคตที่จะเป็นคนรวยนะครับ ผมของหยิบยกบ้างประเด็นในหนังสือมาเล่าสู่เพื่อนๆฟังดังนี้ครับ

เรามีสมมุติฐานที่ผิดสองประการ

1. เราทุกคนเรียนรู้ในเรื่องใดก็ได้แทบทุกเรื่อง
2. การพัฒนาที่ดีที่สุดคือทุ่มความสนใจที่จุดอ่อน


โอกาสที่จะประสบความสำเร็จนั้นพบว่า พรสวรรค์ของแต่ละคนมีความยั่งยืน และมีความพิเศษเฉพาะตัว ถ้าหากได้มุ่งเน้นพัฒนาจุดแข็งของคนๆ นั้นแล้ว มันจะเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผลที่สูงกว่า เพราะเขาเคยทำการสำรวจในคน 1.7 ล้านคน 101 บริษัท 63 ประเทศ พบว่าในแต่ละวันได้เอาศักยภาพที่ดีทีสุดของตัวเองมาทำงาน เพียงแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง โดยจะขอนิยามคำศัพท์ต่างๆ ดังนี้

จุดแข็ง คือ การทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งได้แทบสมบูรณ์แบบอย่างสม่ำเสมอ เราจะถือว่าเป็นจุดแข็ง ได้เมื่อสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอจนคาดหวังได้
จุดอ่อน ก็คือ อะไรก็ตามที่มาขัดขวางการปฏิบัติให้เป็นเลิศ

พรสวรรค์ มีคุณสมบัติอย่างน้อย 4 ข้อ คือ 1. ชอบทำ 2. มีความปรารถนา 3. เรียนรู้ได้เร็ว 4. ทำแล้วรู้สึกดี

ส่วนในเรื่องของจุดอ่อน ใครได้ยินก็อยากจะกำจัดทิ้งเสีย แล้วเราจะมีกลยุทธ์ในการกำจัดจุดอ่อนได้อย่างไร
1. ทำดีขึ้นอีกนิด อย่าไปคาดหวังว่าเราจะแก้ทุกอย่างภายในวันเดียว เพียงแค่ว่าเราทำดีกว่าเดิมอีกนิดเดียว
2. ลองใช่ความคิดสร้างสรรค์ บางทีอาจจะได้อะไรใหม่ๆ
3. ถ้ามันต่อต้านกันก็เอาจุดแข็งมาลบจุดอ่อน
4. ลองหาคนที่จะมาเป็นคู่คิด
5. ถ้าทำ 4 ข้อ ทั้งหมดแล้วยังไม่ดีขึ้นก็เลิกทำ อย่าไปดันทุรังเลย

ส่วนจุดแข็งนั้นจะมีลักษณะเฉพาะคือ
1. เราสามารถที่จะคาดหวังผลได้
2. จุดแข็งจะมีลักษณะเฉพาะจริงๆ
3. ถ้าเราอยากจะเป็นเลิศ เราต้องเพิ่มพูนจุดแข็ง มากกว่าที่จะไปลบจุดอ่อน



Read more ►

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การอ่านหนังสือให้จำได้เข้าใจด้วย

0 ความคิดเห็น
อันที่จริงผมเองตั้งใจจะอ่านหนัีงสือทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสืออะไรก็ได้  ขอเพียงแค่ได้อ่านหนังสือ วาเหตุที่ผมทำอย่างนั้น เพราะผมเป็นคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ผมชอบดีดลูกแก้วมากกว่าอ่านหนังสือมากๆ  และเมื่อคืนเป็นวันที่ผมไม่ได้อ่านหนังสือ สาเหตุก็เพราะต้องตื่นแต่เช้า ผมจึงเข้านอนเร็วกว่าทุกๆวัน ระหว่างที่ผมนอน(คือนอนยังไม่หลับนะครับ) ผมก็คิดเรื่องการอ่านหนังสือของผมว่าทำไมผมจึงไม่ชอบอ่านหนังสือ และผมจะพัฒนาทักษะการอ่านหนังสือของผมอย่างไร ให้อ่านแล้วเข้าใจ  อ่านแล้วจำได้

ในอดีตที่ผ่านมาปัญหาที่ผมเจอเวลาอ่านหนังสือ คือ อ่านแล้วง่วง ง่วงแล้วก็หลับ
พอหลับแล้วก็ไม่ได้อ่า่นหนังสือ...ซึ่งมันก็แน่อยู่แล้ว
เช้าวันนี้ผมจึงลองค้นหาวิธีที่ผมจะใช้อ่านหนังสือแล้วไม่ง่วง อ่านแล้วเข้าใจ จำได้ขึ้นใจทันที
ผมเคยอ่านบทความหนึ่งชื่อว่าบทความอะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว ...เขาแนะนำว่าการอ่านหนังสือควรใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าคือ หู ตา จมูก ลิ้น  การสัมผัส (แล้วจะทำไงหว่า)

มีอีกเทคนิคหนึ่งถ้าผมจำไม่ผิดคิดค้นจากชาวญี่ปุ่น...เรียกว่าเทคนิค การอ่านหนังสือโดยใช้ปากกา 3 สี
ผมไปอ่านเจอมาครับ ก็ขอดึงส่วนที่สามารถนำไปใช้ได้ทันทีมาบันทึกเก็บไว้อ่านแล้วกันครับ 



"สีน้ำเงิน - ในจุดทั่วๆ ไปที่เราคิดว่าค่อนข้างสำคัญ ซึ่งจุดที่เราขีดสีน้ำเงิน คือที่ๆ ไม่ว่าใครอ่าน ก็จะต้องคิดว่าตรงนี้ค่อนข้างสำคัญเหมือนกันหมด จะขีดมากขีดน้อยยังไงก็ได้ จะขีดจนหมดหน้าเลยก็ได้ แต่ว่าเค้าบอกว่าการขีดเส้นสีน้ำเงิน เมื่อเรากลับมาอ่านดูอีกรอบ จะเหมือนกับการย่อบทความหรือเรื่องที่เราอ่านออกมา คล้ายๆ กับการย่อความนั่นเอง
 สีแดง - ขีดเฉพาะในจุดที่สำคัญมากๆๆๆๆๆๆๆๆ มากจริงๆ ไม่ว่าใครอ่านก็ต้องรู้ว่าตรงนี้สำคัญมาก ถ้าเราตัดสินได้แบบนั้นค่อยขีด ห้ามขีดเยอะ ให้ขีดได้แค่จุดที่สำคัญมากๆ จริงๆ เท่านั้น
สีเขียว - ขีดเฉพาะที่ๆ เราคิดว่า "น่าสนใจ" สีเขียวนี่เราคิดว่าเป็นจุดที่ประหลาดดี เค้าบอกว่าให้เราใช้ตัวเองเป็นคนตัดสิน ว่าตรงนี้ควรจะขีดสีเขียวหรือไม่ เวลาที่เราอ่านบทความอะไรซักอย่างหนึ่ง จำนวนของสีเขียวช่วยเป็นตัวบอกให้เรารู้ด้วยว่าเราสนใจ หรือว่าชอบบทความนั้นมากขนาดไหน
 
**** จุดที่ขีดเส้นทั้ง 3 สีจะซ้ำกันก็ได้นะ ไม่เป็นไร ไม่ใช่ว่าตรงไหนต้องขีดเพียงสีเดียว เมื่อขีดเส้นแล้วก็ให้วงกลมคำที่เป็น Keyword ของเส้นที่เราขีดไปด้วย เอาแค่คีย์เวิร์ดนะ *-* แบบเนี่ย ถ้าหากเราสามารถอ่าน หนังสือ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียน เอกสารทำงาน หรือว่าหนังสืออ่านเล่นอะไรก็ตาม แล้วขีดเส้นแบ่งตามนี้ไปด้วยได้ เค้าบอกว่าเราจะเข้าใจในสิ่งที่อ่านไปขึ้นอีกเยอะเลย"


    “การอ่านหนังสือ ควรจะอ่านในสถานที่ที่สงบเงียบ และสมองของเราต้องพร้อมที่จะรับเรื่องใหม่ ๆ นั่นแหละการอ่านถึงจะได้ผลสูงสุด



Read more ►

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ฝึกซ้อมทักษะที่ทำให้เกิดความแตกต่าง

0 ความคิดเห็น
เมื่อวานผมได้อ่านหนังสือเรื่อง "เป็นที่ 1 ในธุรกิจของคุณ" เป็นหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับการขายตรง(ในความเห็นผม) มีอยู่ 1 บทในหนังสือเล่มนี้ที่ผมชอบมากเป็นพิเศษคือ ฝึกซ้อมทักษะที่ทำให้แตกต่าง

เรื่องมันมีประมาณนี้ครับ ...
นักกีฬาทุกชนิดเลยนะครับจะต้องทุ่มเทฝึกฝนทักษะที่จำเป็นที่จะทำให้เขาชนะ ยกตัวอย่างนักฟุตบอล ผู้เล่นตำแหน่งปีกซ้ายก็ต้องฝึกทักษะในการโยนลูกให้กับศูนย์หน้าให้แม่นยำ..ยังกับจับวาง
ดังนั้นแล้วก่อนที่จะลงแข่งเกมใหญ่จะต้องทุ่มเท...ฝึกซ้อม...ซ้ำแล้ว..ซ้ำเล่า...เพื่อให้เกิดความแตกต่างกับผู้แข่งครับ

แม้แต่ทีมที่มีแผนการตลาด...แผนกลยุทธ...ที่ล้ำลึกแค่ไหน
แต่หากทีมไม่ได้ท่มเท..ในการฝึกใช้แผน...แบบซ้ำแล้ว..ซ้ำอีก..แผนการตลาดที่ว่าเลิศนั้นคงไร้ค่า

จะเห็นได้ว่าผมเน้นการใช้คำว่าซ้ำแล้ว..ซ้ำเล่า...คือเน้นคำว่าซ้ำมากเป็นพิเศษ
ก็เพราะว่าเคล็ดลับอยู่ที่การทำซ้ำแหละครับ
นักกีฬาที่เก่งๆอย่างบัวขาว...เขาทราย...สมรักษ์...ล้วนฝึกการชก...เตะ...ตีเขา ชนิดนับชั่วโมงไม่ได้

ในหนังสือแนะนำทักษะการทำธุรกิจขายตรงให้สำเร็จ..เป็นทักษะที่ีสำคัญยิ่งยวด
ทักษะที่ว่ามีด้ววยกัน 2 ทักษะ
1.จัดการข้อโต้แย่ง...เคล็ดลับอยู่ที่สติและการควบคุมอารมณ์ให้นิ่ง...ไม่เงียบเกินไป..ไม่พูดไร้สาระ
2.การนำเสนอแบบจูงใจ...การฝึกให้ลองฝึกพูดต่อหน้าคน 3-4 คน ดูว่าเขาสนใจไหม

ผมขอจบดื้อๆแบบนี้แหละครับ สมองคิดอะไรไม่ออกแล้ว ขอเวลาไปฝึกการจัดการความคิดบ้างละครับ

Read more ►

วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ต่างที่คิดชีวิตจึงต่าง

2 ความคิดเห็น
สวัสดีครับผมเองเป็นคนที่ชอบซื้อหนังสือแต่ไม่ชอบอ่านสักเท่าไหร่เลยครับ หนังสือบางเล่มซื้อไว้นานมากกว่าจะได้อ่านก็ผ่านมาหลายปีมากๆ แต่มีหนังสือของอาจารย์สมคิด ลวางกูรนี้แหละครับ ที่ผมอ่านจบเร็วที่สุด เพราะอาจารย์สมคิด ลวางกูร สอดแทรกเนื้อหาสาระที่สำคัญกับมุกตลกๆทำให้หนังสือของอาจารย์สมคิด ลวางกูรทุกเล่มเป็นหนังสือที่อ่านง่ายแต่มากด้วยสาระ

 เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมบังเอิญต้องพาน้องสาวไปบิ๊กซี ผมจึงต้องแวะร้า่นหนังสือเพื่อรอน้องสาว ผมก็ได้ไปเปิดอ่านหนังสือของอาจารย์สมคิด ลวางกูร ชื่อว่าสุดยอด...หนังสือดี... 9 ตอน..ต่างที่คิด...ชีวิตจึงต่าง... โดย พิพิธ พุ่มแก้ว ผมเปิดอ่านหนึ่งตอน ซึ่งพออ่านแล้วประทับใจมากผมจึงตัดสินใจซื้อ



หลังจากอ่านหน้าแรกๆๆจึงทราบว่าอาจารย์สมคิด ลวางกูร เอาเนื้อหาจากการอบรมจากอาจารย์พิพิธ พุ่มแก้ว มา
rewrite  ในแบบฉบับของอาจารย์สมคิด คือ มันส์ ฮ่า มีสาระ ผมขอยกตัวอย่างเนื้อเรื่องบางตอนครับ 

"เริ่มต้นด้วย...จงระวังความคิดของเราให้ดี!!! เพราะแว็บแรกของความคิดเรามักจะขาดการไตร่ตรอง ไม่รอบคอบ เป็นความคิดเพื่อตัวเอง เป็นความเห็นแก่ตัว สิ่งที่ถูกต้องและความเป็นจริงมักจะอยู่ตรงกันข้ามกับความคิดแว็บแรกของเรา เสมอ สิ่งสำคัญ คือ “ความคิด” --> เพราะความคิดจะนำไปสู่คำพูด --> คำพูดจะกลายเป็นการกระทำ (พฤติกรรม) --> การกระทำซ้ำๆ จะทำให้เป็นนิสัย --> นิสัยบ่มเพาะเป็นบุคลิกภาพ --> และสุดท้ายบุคลิกภาพนำไปสู่ชะตาชีวิต
ไม่มีใครเปลี่ยนความคิดของใครได้..ถ้าเจ้าตัวไม่ยอมเปลี่ยน แต่เมื่อใดที่เราเผลอใจให้ลอยไปกับความคิดแว็บแรกที่ขาดการไตร่ตรองที่ ดี..เรามักอยากเปลี่ยนความคิดหรือพฤติกรรมของคนอื่น เช่น คนนั้นน่าจะเป็นอย่างนี้ คนนี้น่าจะทำอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้..เสียเวลา..หรือถ้าคนผู้นั้นเขาเปลี่ยนความ คิดหรือพฤติกรรมตามอย่างที่เราชอบ อย่างที่เราอยากให้เป็น..ขอถามว่า..แล้วชีวิตของเราดีขึ้นตรงไหน น่าเสียดายเวลา 24 ชั่วโมงของเราเหลือเกินที่มัวแต่มาเสียเวลาคิดแต่เรื่องของคนอื่น
อ.พิพิธ อธิบายรูปแบบของความคิดและวิธีการปรับเปลี่ยนความคิด โดยใช้ทฤษฎีหน้าต่าง 4 บานของโจฮารี ดังนี้
1. หน้าต่างที่ตนเองรู้ผู้อื่นก็รู้ เปรียบได้กับเรื่องทั่วๆ ไป ที่ตัวเราเองรู้ว่าตัวเราเป็นอย่างไร ถ้าต้องการให้ผู้อื่นรู้ ต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจเรา ก็เพียงแค่เปิดใจ เช่น เราไม่ดื่มกาแฟ แต่เวลาไปประชุมที่ไหนก็มักจะจัดกาแฟไว้ให้เสมอ ถ้าเราไม่เปิดใจบอกผู้จัดเตรียมอาหารว่าง เขาก็ย่อมไม่รู้ แต่ถ้าเราบอกเขาตั้งแต่แรกว่าเราดื่มกาแฟแล้วใจสั่น ขอเป็นโกโก้หรือน้ำชาแทน เปิดใจให้เขารู้ เขาก็จะเข้าใจเราและกระทำต่อเราตามสิ่งที่เราต้องการได้
2. หน้าต่างที่ตนเองรู้แต่ผู้อื่นไม่รู้ เปรียบได้กับเรื่องส่วนตัวหากเราไม่เปิดเผยเรื่องนั้นก็จะเป็นความลับ ถ้าเราไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้เรื่องส่วนตัวของเรา..ก็เก็บไว้ไม่ต้องบอกใคร ในขณะเดียวกันเราก็ควรเคารพสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น ไม่ควรสอดรู้สอดเห็นในเรื่องส่วนตัวที่ผู้อื่นเขาอาจต้องการให้เป็นความลับ ก็ได้
3. หน้าต่างที่ตนเองไม่รู้แต่ผู้อื่นรู้ หมายถึงจุดบอดของตนเองซึ่งเราไม่รู้ เช่น เรามีกลิ่นตัว มีกลิ่นปาก ตัวเราเองไม่รู้แต่คนรอบข้างเราเบือนหน้าหนี กรณีอย่างนี้เราต้องพร้อมยอมรับฟังคำแนะนำหรือคำบอกกล่าวของผู้อื่น เมื่อใดที่มีคนมาบอก จุดบอดของเราต้องขอบคุณคนผู้นั้น และปรับปรุงแก้ไขตนเองลบหรือลดจุดบอดให้เหลือน้อยที่สุด
4. หน้าต่างที่ตนเองก็ไม่รู้และผู้อื่นก็ไม่รู้ หมายถึงเรื่องเร้นลับ ซึ่งในโลกนี้ยังมีเรื่องเร้นลับอีกมากมายที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งสำคัญ คือ เราต้องรู้จักใช้เหตุใช้ผลในการวิเคราะห์เรื่องเร้นลับต่างๆ อะไรที่เราเชื่อแล้วทำให้ชีวิตเดือดร้อน..วุ่นวาย..เป็นทุกข์..ให้หยุดเชื่อ แต่ถ้าเชื่อแล้วชีวิตรุ่งเรือง..สดชื่น..มีความสุข..ไม่เดือดร้อนผู้อื่น.. ก็เชื่อไปเถอะ
หากเราไม่เปลี่ยนความคิด..ชีวิตไม่เปลี่ยน ซึ่งเราสามารถฝึกฝนตัวเราให้เป็นผู้ไตร่ตรองในความคิดได้..โดยเริ่มต้นด้วย การ “คิดให้เป็น” กล่าวคือ เมื่อเริ่มต้นความคิดต้องคิดให้รอบคอบ..คิดในเชิงบวก..คิดให้สร้าง สรรค์..และคิดเพื่อผู้อื่น..เมื่อคิดรอบคอบแล้วจึงพูด..จึงกระทำ สูตรสำเร็จของการทำให้ชะตาชีวิตของเราประสบความสำเร็จ ก็คือ ระวังความคิดที่ตามใจตัวเอง..เพราะฝืนใจได้..ตามใจเสีย - ลองไปถามคนอ้วนๆ ดูสิว่าเขาฝืนใจหรือตามใจตนเอง
- ลองไปถามคนสูบบุหรี่ดูสิว่าเขาฝืนใจหรือตามใจตนเอง
- ลองไปถามคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตดูสิว่าเขาฝืนใจหรือตามใจตนเอง
เปลี่ยนความคิดของท่านให้เป็นคนที่ “คิดเป็น” เสียแต่บัดนี้..แล้วชีวิตท่านจะมีแต่ความสุข...สวัสดี"
Read more ►

วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

คมความคิดของอาจารย์สมคิด ลวางกูร

3 ความคิดเห็น
 เพราะชีวิตผมมันหายนะผมจึงต้องออกตามหาตำรา"พลิกชีวิตจากหายนะสู่ความสำเร็จ"ผมอ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา และผมซื้อมาในราคา 250 บาท ปัจจุบันขายกันที่ 70 บาท เป็นหนังสือที่อ่านเพลินให้ข้อคิด หากสามารถนำไปประยุกต์ใช้จะสามารถพลิกชีวิตจากเด็กวัดกลายเป็นคนรวย 100 ล้านได้อย่างสบายเลยครับ ชีวิตของท่านอาจารย์สมคิด ตอนเด็กลำบากมาก มีความรู้สึกอยากหนีชีวิตบัดซบพวกนี้ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร วันหนึ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่งของ เดล ดาร์เนกี้ หนังสือเล่มนี้ทำให้ผมเปลี่ยนชีวิตเลย จากเด็กวัดกำพร้าแย่งหมากินมาประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ตอนอายุ 25 ปี มีเงิน 1 ล้านบาทตามที่ฝันเพราะฉะนั้น หนังสือเล่มเดียว มันทำให้ พลิกชีวิตคนได้ จนกระทั่งเป็น ผู้บริหารสนามบินใหญ่ และ ทันสมัยที่สุดในโลก จนติด เวิลด์ เรกคอร์ด เพียงแค่หนังสือเล่มเดียว เพราะฉะนั้น ผมก็อยากพลิกชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ ที่กำลังยากจน มีปัญหา อยากพลิกชีวิตเขา ให้เขายิ่งใหญ่ระดับโลกเหมือนกัน ด้วยเหตุนั้น ผมจะหาเนื้อหาที่ทำให้ เปลี่ยนชีวิตคน ได้เอามาเขียนเป็นหนังสือ หนังสือผมมันต้องเปลี่ยนชีวิตคนได้ ถ้าเปลี่ยนชีวิตคนไม่ได้ ผมไม่ทำ เรื่องที่ผมทำ จะสร้างพลัง สร้างแรง จากคนยากเข็น เรียนน้อย ครอบครัวไม่ดีสภาพแวดล้อมไม่ดี ให้รวยกว่าคนอื่น  โพสนี้ผมข้อนำเสนอแนวคิดและคำคมบางประการให้เพื่อนได้อ่านเวลาที่ท้อแท้นะครับ

หนังสือดีเพียงเล่มเดียว....
       สามารถเปลียนชีวิตคนได้....

ความคิดดีๆ...เพียงความคิดเดียว...
      สามารถสร้างแรงบันดาลใจ
           ให้เด็กวัด..กำพร้า...อดอยากยากจนขนาดต้องแย่งหมากิน...
                ทะยานสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้....

เรา...ไม่สามารถรู้ได้ว่า...เราจะบินได้สูงแค่ไหน...
      จนกว่าเราจะ...กางปีก...แล้วบิน...

ตราบใดที่คุณยังไม่ลงมือทำ...
      อย่าเชื่อว่าคุณทำไม่ได้...

ความมหัศจรรย์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในโลกนี้...
      เริ่มต้นมาจากฝันกลางวันของคนบางคนนี้แหละ...

จากประวัติของคนที่ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ทุกคน...
     มีหัวใจของความสำเร็จเหมือนกัน 2 ประการคือ....
         1.เขา...ชนะใจตนเอง....
         2.เขา...ให้ความสำคัญเรื่องวินัย...เป็นอันดับหนึ่ง....

คนที่ประสบผลสำเร็จ....
      ไม่ใช่อยู่ที่แรงถึง....
            แต่อยู่ที่...มีความตั้งใจแน่วแน่...ไม่เปลียนแปลง

ผู้ที่ประสบความสำเร็จ
      ไม่ใช่เก่ง...
            แต่ต้องอึดด้วย

ชัย ชนะ..เป็นของคนที่....อึดที่สุด...

ความสำเร็จ...เกิดจาก...
       อัจฉริยะ1 ส่วน
      ที่เหลือ 9 ส่วน...เกิดจาก....
           หยาดเหงื่อ...แรงงาน...และน้ำตาล้วนๆ...

ความยากลำบาก...เป็นมหาลัยชั้นสูง...
      ในการฝึก...ยอดคน

ความสำเร็จ...เกิดจากความยากลำบาก...
     ไม่มีความสำเร็จใด..ตกมาจากฟากฟ้า...

ไม่มีชัยชนะใด...ได้มาโดยไม่ต้องต่อสู้...
     ไม่มีความสำเร็จใด...ได้มา...โดยไม่ต้องลงแรง

ความสำเร็จ...เกิดจาก..การลงมือทำ...
     ไม่ใช่แรงอธิษฐาน...

จงจำไว้เสมอว่า....
     ความจน...ไม่ใช่กรรมพันธุ์...
       พ่อแม่กรูจน..แต่กรูจะรวย...
           แม่กรูเป็นกรรมกร...แต่กรูจะเ็ป็นผู้บริหาร...

กรูเลือกเกิด...ไม่ได้...
      แต่กรูเลือกที่จะลิขิตชีวิตตัวเอง...ได้...

ผู้ที่ปฎิเสธ...ไม่ทำตามความฝัน....
     จะไม่มีทางประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้...

อดีต...ไม่สำคัญ... ว่าเราเคยเป็นใคร...
      แต่สิ่งสำคัญ..มันอยู่ที่ว่า...
         วันนี้...เราจะเป็นใคร...?
              และวันพรุ่งนี้..เราต้องการความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน....

คนที่ชอบทำงานง่ายๆๆ...
        จะเป็นได้แค่ลูกจ๊อกเขา...ตลอดชีวิต...

ผลงานล้ำค่า...ที่อุบัติขึ้นในโลกนี้...
       ล้วนเกิดจากมือ...ของคนที่ชอบทำงานหนัก...

คนที่ประสบความสำเร็จ...
      ไม่ใช่แค่เป็นนักฝัน...
          แต่เขาเริ่มด้วยการ...ลงมือทำ...

เอาแต่พูด...เอาแต่ท่องทฤษฎี.. ไม่ลงมือปฏิบัติ...
       ไม่มีทาง...ประสบความสำเร็จ

ความสำเร็จเริ่มต้นเมื่อ...
       คุณเชื่อว่า...คุณทำได้...

จุดอ่อนของคนที่...ไม่ประสบความสำเร็จคือ...
      การยอมแพ้...

คนที่ประสบความสำเร็จ
     พยายามอีกครั้ง...เสมอ...

ความรับผิดชอบ...ทำให้...งานออกมาดี...
     ความรัก...ทำให้...งานออกมา...สวย...
          เป้าหมาย..ทำให้...สำเร็จ...โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย...

สาเหตุที่ทำให้คุณเห็นว่า...
      อุปสรรค..เป็นเรื่องน่ากลัว...
           เพราะ...คุณละสายตา...จากเป้าหมาย...

ความสำเร็จ...มัน อยู่ไกล..เกินไปถึง....
      กับคนซึ่ง...นั่งหงอย...และคอยหา...
           ความสำเร็จ...จะมาอยู่...แค่ปลายตา...
                กับคนที่...คิดว่า...ต้อพยายาม...

เกิดในที่...ที่ดี...นั้นดี แน่...
       เกิดในที่...ที่แย่...ก็ดีได้...
               เกิดที่ดี...แล้วแย่...มีถมไป....
                      เกิดที่ไหน...ก็ดีได้...ถ้าใฝ่ดี...

ผลลัพธ์แห่ง..ความสำเร็จ....
        ยิ่งใหญ่เกินกว่า...ที่ตามองเห็น....

คนที่จะประสบความสำเร็จ....
        ต้องมีเป้าหมายในชีวิต...

วันนี้...คุณตั้งเป้าหมายในชีวิต...หรือยัง...?
Read more ►

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กว้างหรือแคบแค่ใจเห็น

0 ความคิดเห็น
'หนุ่มเมืองจันท์' เป็นอีกท่านหนึ่งที่ผมติดตามหนังสือและบทความของท่านอยู่เป็นระยะ ระยะ แม้ว่าจะไม่ใช่หนังสือแนวHOW TO แต่เนื้อหา ล้วนสร้างแรงบันดาลใจ ไม่ต่างจากหนังสือHOW TO ที่โด่งดังระดับโลกเลยครับ  นอกจากแรงบันดาลใจแล้วยังได้ความรู้เชิงลึกของการทำธุรกิจอีกด้วย เนื่องจากบทความทุกบทความของ 'หนุ่มเมืองจันท์' ล้วนกลั่นออกมาจากประสบการณ์ที่ได้จากการสัมภาษณ์นักธุรกิจระดับแนวหน้าของประเทศไทย

 แม้มีหลายเรื่องที่ผมประทับใจตรึงดวงจิตผม แต่ผมเองไม่อาจเล่าเรื่องทั้งหมดได้ จึงของนำเสนอเล่มที่ผมประทับใจและเป็นเล่มแรกที่ผมอ่านของหนุ่มเมืองจันท์ ชื่อเล่มว่า คำถามสำคัญกว่าคำตอบ

 บทความหรือเรื่องที่ประทับใจในเล่มนี้หรือ "แคบ" หรือ "กว้าง" ส่วนหนึ่งที่ประทับใจเรื่องนี้เพราะมีเพื่อนผมที่เป็นทันตแพทย์ เขาเคยพูดกับผมว่าอาชีพทันตแพทย์เป็นอาชีพที่ทำงานละเอียดมาก มากระดับไหน ผมขอนำบทความ บางส่วนของท่าน หนุ่มเมืองจันท์ มาสรุปในแบบของผมนะครับ

"เหียโต้ง" บอกว่า อาชีพทันตแพทย์นั้นสามารถมองได้ทั้งแคบและกว้าง
ถ้ามองแคบก็แคบระดับ มิลลิเมตร
เพราะการทำฟันนั้นต้องมองละเอียดเล็กถึงระดับนี้
ฟันแต่ละซี่ที่ผุนั้นมีขนาดแค่ มิลลิเมตร

หรือถ้าจะมองกว้างกว่านั้น เหียโต้ง ยกตัวอย่างคนแก่ที่ฟันหลุดหมดปาก 
ถ้ามองแค่เรื่องการกินอาหาร
ไม่มีฟันก็สามารถดูดอาหารเหลวได้
แต่ ฟัน นั้นยังหมายถึงการบดเคี้ยว
การเคี้ยวจะทำให้เลือดไปเลี้ยงที่สมอง
ถ้าไม่มีการบดเคี้ยวคนแก่มีสิทธิ์เป็นโรคอัลไซเมอร์ได้ง่าย

ดังนั้นการใส่ฟันปลอมให้คนแก่จึงมีความจำเป็น 

หรือจะมองกว้างกว่านั้น แทนที่จะรักษาฟันเป็นคนๆ(คิดว่าคงหมายถึงการเปิดคลีนิค)
ทันตแพทย์สามารถรณรงค์ให้คนรักษาสุขภาพฟัน เช่น ไม่กินหวาน
ทันตแพทย์ก็ช่วยสุขภาพฟันของสังคมได้มาก


ทั้งหมดคือมุมมองต่อโลก
โลกใบนี้มีตำแหน่งที่เราจะเลือกยืนได้หลายจุด
จะยืนจุดที่แคบหรือกว้าง

และโลกไม่เคยหยุดนิ่ง เช่นเดียวกันตำแหน่งที่ยืนก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เดิมตลอดกาล
วันหนึ่งเราอาจยืนอยู่จุดที่แคบ
เมื่อวันใดที่พร้อม เราก็สามารถเปลี่ยนไปยืนในตำแหน่งที่มองอะไรกว้างขึ้นได้

ท้ายที่สุดแล้วตำแหน่งที่ยืน ไม่สำคัญเท่ากับตำแหน่งในใจ


Read more ►

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2555

The World is Flat

0 ความคิดเห็น
 หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้หนังสือ HOW TO เล่มไหนๆก็คือ หนังสือเรื่อง  The World is Flat เขียนโดย  Thomas L. Friedman สำหรับผมจัดเป็นหนังสือHOW TO แนวการให้แง่คิดในการพัฒนาตนเอง คือ สรุปสั้นๆง่ายๆว่าเราจะพัฒนาตัวเองให้เก่งเฉพาะในท้องถิ่นเรา หรือเก่งแค่ในประเทศไม่ได้แล้ว เราต้องเก่งเป็นที่ 1 ในโลก  เพราะทุกวันนี้เราทำงานผ่านอินเตอร์เน็ตสื่อสารกันได้ทั่วโลก ผมขอนฃสรุปประเด็นสำคัญๆในหนังสือดังนี้ครับ

  ประเด็นที่ 1 ความหมายของ  The World is Flat  ผู้เขียนอธิบายว่า   ในป  ค . ศ . 1492 เม ื่อ  Christopher  Columbus ออกเดินเรือเพื่อหาเสนทางไปทวีปอินเดีย   แต่ด้วยความบังเอิญเกิดความผิดพลาดระหว่างการเดินเรื่อน ทำให้ได้พบทวีปอเมริกา  ทำให้ Columbus  สรุปว่าโลกกลม แต่ในยุคโลกาภิวัฒน์ ณ ตอนนี้อินเดียเป็นศูนย์กลาง  Business Process Outsourcing (BPO) คือให้บริการต่าง ๆ  เช่นเขียนน  Software  กรอกแบบภาษี  วิเคราะหผล   X-ray  ติดตามกระเป๋าเด ินทางที่สูญหายใหแก่สายการบิน โดยให้บริการแก่บริษัทต่างๆ ทั่วโลกผานทาง  Internet  สวนประเทศจีนก็มีแรงงานที่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นหลายพันคนที่กำลัีงให้บริการ BPO  แก่ บริษัทต่าง ๆ  ของประเทศญี่ปุ่นหรือในประเทศจีนเองที่มีโรงงานหรือบริษัทเล็กๆที่ผลิตรูปปั้นVirgin of Guadalupeที่ชาวเม็กซิกันนับถือและก้มีวางขายเฉพาะืั้ประเทศเม็กซิโก สรุปคือเราทุกคนเราต้องเผญิชหน้ากันภายใต้สิ่งแวดล้อมเดียวกัน  (level playing field)


ประเด็นที่ 2 กระแสโลกาภิวัตน์ที่ผ่านมาในประวัติศาสตรมี 3  ช่วง                                     ได้แก่ (1) Globalization-1.0   เริ่มจากป 1942 มีกลไกการเปลี่ยนแปลงคือประเทศตะวันตก  เช่น   สเปนและอังกฤษที่เดินทางแสวงหาอาณานิคม   ทําใหโลกเสมือนลดขนาดลงจากขนาดใหญเป็นขนาดกลาง  (2)  Globalization-2.0  เริ่มจากป 1800 โดยกลไกคือบริษัทข้ามชาติที่แสวงหาตลาดและแรงงานในโลกตะว ันออก   ทําใหโลกเสมือนลดจากขนาดกลางเปนขนาดเล็ก  (3)
Globalization-3.0  เริ่มจากป 2000 ที่เทคโนโลยีสารสนเทศทำใหโลกเสมือนลดจากขนาดเล็กเปนขนาดจิ๋ว   โดยกลไกคือคนทุกคนและทุกกลุมสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี (plug and play)  และร่วมในกระแสโลกาภิวัตน์นี้ได โดยไม่จ ําก ัดเฉพาะชาวโลกตะวันตกอีกตอไป 

ประเด็นที่ 3 เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้โลกแบนได้แก่ 
(1)   11/9/89  The wall came down and Windows came up .   วันที่ 9  พฤศจ ิกายน   ค . ศ . 1989 (11/9) กำแพงเบอร์ลินถูกทำลาย  ซึ่งเป็นการเริ่มต้นสิ่งที่เรียกว่าโลกไร้พรมแดน และหลังจากนั้น 5 เดือน โปรแกรม Windows 3.0 เริ่มวางตลาด
 (2)   8/9/95  People to people connectivity   วันท ี่ 9  สิงหาคม   ค . ศ . 1995 บร ิษัท  Netscape  เข้าเปนบริษัทมหาชน  ซึ่งทำให้เกิดสิ่งส ําค ัญ  3  เร ื่อง
1) มี browser  ที่ทําใหการใช  Internet  เกิดเปนที่นิยมทั่วโลกทําใหมีมาตรฐานที่การติดตอสื่อสารและเชื่อมโยงกันระหว่างผูใชคอมพิวเตอร์ระบบตางๆ เกิดขึ้นได
3) เกิดกระแส Dot-Com boom  จนเกิดการลงทุนในการวางสาย Fiber Optic  มูลค่าประมาณ  1  ลานลานเหรียญ   ซึ่งทำให้เกิดการสื่อสารไดทั่วโลกโดยต้นทุนการส่งเอกสาร   เพลง   หรือข อมูลลดลงออย่างมหาศาล
(3)   Work Flow Software (Application to application connectivity)  การที่มีมาตรฐานและการเชื่อมโยง ให้เกิดการสื่อสารกันได้ระหว่างผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์ต่างกัน และโปรแกรมต่างกันได้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการทำงาน (work  flow)   อย่างมาก การแบ่งปันข้อมูล ความรู้ และการร่วมงานกันเกิดขึ้นระหว่างคนที่อยู่ต่างสถานที่ ต่างเวลา อย่างไม่เคยมีมาก่อน ในประวัติศาตร์ทั้งสามโลก
 (4)   Open-sourcing  เช นการเปดใหใช โปรแกรม  Linux  ฟรีแก่คนทั่วไปทำให้เกิดรูปแบบใหม่ในการสร้างสรรค์ (new industrial model of creation)  และการร่วมงานกัน   เช น  น ักศ ึกษาอายุ 19 ป ของมหาว ิทยาล ัย  Stanfordประเทศสหรัฐอเมร ิการวมกับน ักศ ึกษาอายุ 24 ป   ในประเทศ  New  Zealand  พัฒนาโปรแกรม Firefox  WebBrowser  โดยไม เคยพบต ัวก ันเลย   และโปรแกรมได ม ีผ ู download  ไปใช แล วกวา  10 ลานคน

ทั้งหมดนี้เป นป จจ ัยท ี่ทําใหโลกแบนข ึ้นและเรียกปจจ ัยเหล าน ี้วา  “flatteners”



Read more ►

ปลุกปีศาจในตัวคุณ

0 ความคิดเห็น

หนังสือเรื่อง Evil Plan หรือ ปลุกปีศาจในตัวคุณ จัดเป็นหนังสือแนว HOW TO อีกเล่มที่น่าสนใจ เป็นหนังสือ HOW TO ที่เขียนได้เร้าอารมณ์มากกว่าหนังสือHOW TO เล่มไหนๆที่ผมเคยอ่านมาก็ว่าได้ครับ หนังสือHOW TO เล่มนี้ เขียนโดย Hugh MacLeod สำหรับผมแล้วผมชอบอ่านหนังสือ HOW TO มากเลยนะครับ อ่านแล้วเกิดความรู้สึกกระตือรือร้นอยากประสบความสำเร็จ แต่หนังสือHOW TO แต่ละเล่ม แต่ละผู้เขียน จะมีทั้งส่วนที่เหมือนกันและต่างกัน แต่ทุกๆเล่มจะมีทั้งบทที่อ่านแล้วน่าเบื่อ กับบทที่อ่านแล้วรู้สึกกินใจ ในหนังสือ ปลุกปีศาจในตัวคุณ มีอยู่บทหนึ่งที่ผมชอบมาก ชื่อว่า “ความสำเร็จยุ่งยากกว่าความล้มเหลว” จึงขอมาสรุปดังนี้

คนเราทุกคนย่อมอยากประสบความสำเร็จ แต่ทำไมไม่สำเร็จ คำตอบง่ายๆก็คือว่า “มันยุ่งยาก” “ขี้เกียจทำตัวให้เป็นคนประสบความสำเร็จ” เท่านั้นเอง
ทำไมความสำเร็จถึงยุ่งยากกว่าความล้มเหลว ก็เพราะว่า การทำตัวเป็นคนล้มเหลวนั้นง่ายมากๆ ก็แค่คุณตื่นสายๆ  หาอะไรกินนิดหน่อยแล้วกลับมานอนต่อหรือไม่ก็ออกไปเล่นไฮโล หรือดูมวยอยู่ที่บ้าน พร้อมกับจิบเหล้าและดูดบุหรี่ พอตกเย็นก็ไปหาก๊วนมากินเหล้า กินเนื้อ แล้วไปทำบุญกับโคโยตี้ แล้วก็กลับบ้านมาแบบเมาๆ หลับไปอย่างไม่รู้ตัว เท่านี้ชีวิตคุณก็ใกล้กับความเป็นคนล้มเหลวขึ้น โครตง่ายเลย
กลับกันถ้าอยากเป็นคนประสบความสำเร็จ เขาจะทำอะไรที่มันยุ่งยากกว่าหน่อย อย่างเช่น ตื่นเช้าอาจต้องประชุมพร้อมกับทานอาหารเช้า ตอนบ่ายๆอาจต้องรับรองลูกค้า พอมีเวลาว่างก็อ่านหนังสือแนวธุรกิจหรือแนวพัฒนาตนเอง(หนังสือ  HOW TO)ตกเย็นๆก็นั่งอ่านรายงาน จัดการเรื่องซับซ้อนต่างๆมากมาย
จะเห็นได้ว่า การเป็นคนล้มเหลวนั้น ทำแต่เรื่องง่ายๆ ไม่ยุ่งยากอะไรทั้งนั้น
แต่ก็ใช่ว่า คนล้มเหลวจะไม่คิดเรื่องซับซ้อนอย่างคนที่ประสบความสำเร็จเขาทำกัน
คนล้มเหลว บางทีก็ต้องใช้ความคิดในเรื่องซับซ้อนและยุ่งยากอย่างเช่น “จะหาเงินมาจากไหน?” “จะหลอกใครยืมเงินดี?” “เล่นไฮโลจะแทงต่ำหรือสูง หรือแทง หก สี่ เอี่ยว?”
แต่ใช้ว่าชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จนั้นจะยุ่งยากเสมอไป เพราะบางอย่างที่เราเห็นว่ายุ่งยากนั้น สำหรับเขาอาจจะเป็นเรื่องเรียบง่ายมากๆเลยก็ได้ อย่างเช่นการจัดการกับเงินลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟต์ บัฟเฟต์บอกว่า ปกติการที่เขาจะตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อกิจการหลังจากที่เขาได้รับทาบทามให้ ซื้อนั้น เขาใช้เวลาน้อยมาก และเอกสารที่เขาจะดูก็มีแค่งบการเงินกับรายงานประจำปีเท่านั้น
เหตุ ที่ประการหนึ่งที่คนล้มเหลวแตกต่างกับคนที่ประสบความสำเร็จก็คือ คนล้มเหลว ใช้เวลาอย่างไม่คุ้มค่า ไม่ได้วางแผนในชีวิต แต่คนที่ประสบความสำเร็จนั้นต่างกัน นโปเลียนเคยกล่าวไว้ว่า “ ข้านำดินแดนที่สูญเสียกลับมาได้เสมอ แต่ไม่เคยนำเวลาที่เสียไปแม้เพียงหนึ่งวินาทีกลับมาได้”
จะเห็นว่า การที่คนเราจะประสบความสำเร็จนั้น ไม่ได้ยากไปกว่าเป็นคนล้มเหลว แค่ดู “ยุ่งยาก” กว่าเท่านั้นเอง และคนโดยมาก ไม่ชอบเรื่อง ยุ่งยาก พูดง่ายๆคือขี้เกียจทำ เลยทำแต่เรื่องง่ายๆ ทั้งๆที่เรื่องที่ดูยุ่งยากในตอนแรก หลังๆอาจจะง่ายก็ได้ ตามประสาของความเคยชินในสิ่งที่ทำ
จงอย่ายอมจำนนต่อความเรียบง่ายและความขี้เกียจ เพราะ “การยอมจำนนจะทำให้คุณตกเป็นเบี้ยล่างไปตลอดชีวิต”

ถ้าอยากเป็นตัวเองจากเบี้ยให้เป็นขุน   ก็ต้องลองทำสิ่งที่ยากๆซับซ้อนแต่เรียบง่ายดูนะครับ แล้วจะทำอะไร บ้าง ผมขอแนะนำดังนี้ครับ 
1.นอนให้ได้วันละ 6 ชั่วโมง คือนอนให้เพียงพอนั้นเองครับ 
2.ออกกำลังกายวันละ 45 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน ออกแบบไหนก็ได้แต่ขอให้ต่อเนื่อง 45 นาที อาจเดิน วิ่ง ทำงานบ้าน ยกเวท ปั่นจักรยาน เล่นบาส เตะบอล  ไม่นับกีฬาประเภทหมากกระดานนะครับ เช่น เล่นไพ่บริดจ์ไม่นับครับ 
3.รับประทานผักและดื่มน้ำเปล่าเยอะๆ
4.นั่งสมาธิหรือสวดมนต์ตามศาสนาของตนเอง
5.หาหนังสือ HOW TO สักเล่มมาอ่านวันละ 12-20 นาทีครับ 
ทำติดต่อกัน 45 วัน หากชีวิตไม่ดีขึ้น มาหาผมแล้วผมจะเลี้ยงเหล้่าคุณเอง
Read more ►
 

Copyright © ไอเดียชีวิต Design by O Pregador | Blogger Theme by Blogger Template de luxo | Powered by Blogger