สวัสดีครับผมเองเป็นคนที่ชอบซื้อหนังสือแต่ไม่ชอบอ่านสักเท่าไหร่เลยครับ หนังสือบางเล่มซื้อไว้นานมากกว่าจะได้อ่านก็ผ่านมาหลายปีมากๆ แต่มีหนังสือของอาจารย์สมคิด ลวางกูรนี้แหละครับ ที่ผมอ่านจบเร็วที่สุด เพราะอาจารย์สมคิด ลวางกูร สอดแทรกเนื้อหาสาระที่สำคัญกับมุกตลกๆทำให้หนังสือของอาจารย์สมคิด ลวางกูรทุกเล่มเป็นหนังสือที่อ่านง่ายแต่มากด้วยสาระ
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาผมบังเอิญต้องพาน้องสาวไปบิ๊กซี ผมจึงต้องแวะร้า่นหนังสือเพื่อรอน้องสาว ผมก็ได้ไปเปิดอ่านหนังสือของอาจารย์สมคิด ลวางกูร ชื่อว่าสุดยอด...หนังสือดี... 9 ตอน..ต่างที่คิด...ชีวิตจึงต่าง... โดย พิพิธ พุ่มแก้ว ผมเปิดอ่านหนึ่งตอน ซึ่งพออ่านแล้วประทับใจมากผมจึงตัดสินใจซื้อ
หลังจากอ่านหน้าแรกๆๆจึงทราบว่าอาจารย์สมคิด ลวางกูร เอาเนื้อหาจากการอบรมจากอาจารย์พิพิธ พุ่มแก้ว มา rewrite ในแบบฉบับของอาจารย์สมคิด คือ มันส์ ฮ่า มีสาระ ผมขอยกตัวอย่างเนื้อเรื่องบางตอนครับ
"เริ่มต้นด้วย...จงระวังความคิดของเราให้ดี!!!
เพราะแว็บแรกของความคิดเรามักจะขาดการไตร่ตรอง ไม่รอบคอบ
เป็นความคิดเพื่อตัวเอง เป็นความเห็นแก่ตัว
สิ่งที่ถูกต้องและความเป็นจริงมักจะอยู่ตรงกันข้ามกับความคิดแว็บแรกของเรา
เสมอ สิ่งสำคัญ คือ “ความคิด” --> เพราะความคิดจะนำไปสู่คำพูด -->
คำพูดจะกลายเป็นการกระทำ (พฤติกรรม) --> การกระทำซ้ำๆ จะทำให้เป็นนิสัย
--> นิสัยบ่มเพาะเป็นบุคลิกภาพ -->
และสุดท้ายบุคลิกภาพนำไปสู่ชะตาชีวิต
ไม่มีใครเปลี่ยนความคิดของใครได้..ถ้าเจ้าตัวไม่ยอมเปลี่ยน
แต่เมื่อใดที่เราเผลอใจให้ลอยไปกับความคิดแว็บแรกที่ขาดการไตร่ตรองที่
ดี..เรามักอยากเปลี่ยนความคิดหรือพฤติกรรมของคนอื่น เช่น
คนนั้นน่าจะเป็นอย่างนี้ คนนี้น่าจะทำอย่างนั้น
ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้..เสียเวลา..หรือถ้าคนผู้นั้นเขาเปลี่ยนความ
คิดหรือพฤติกรรมตามอย่างที่เราชอบ
อย่างที่เราอยากให้เป็น..ขอถามว่า..แล้วชีวิตของเราดีขึ้นตรงไหน
น่าเสียดายเวลา 24
ชั่วโมงของเราเหลือเกินที่มัวแต่มาเสียเวลาคิดแต่เรื่องของคนอื่น
อ.พิพิธ อธิบายรูปแบบของความคิดและวิธีการปรับเปลี่ยนความคิด โดยใช้ทฤษฎีหน้าต่าง 4 บานของโจฮารี ดังนี้
1. หน้าต่างที่ตนเองรู้ผู้อื่นก็รู้ เปรียบได้กับเรื่องทั่วๆ ไป
ที่ตัวเราเองรู้ว่าตัวเราเป็นอย่างไร ถ้าต้องการให้ผู้อื่นรู้
ต้องการให้ผู้อื่นเข้าใจเรา ก็เพียงแค่เปิดใจ เช่น เราไม่ดื่มกาแฟ
แต่เวลาไปประชุมที่ไหนก็มักจะจัดกาแฟไว้ให้เสมอ
ถ้าเราไม่เปิดใจบอกผู้จัดเตรียมอาหารว่าง เขาก็ย่อมไม่รู้
แต่ถ้าเราบอกเขาตั้งแต่แรกว่าเราดื่มกาแฟแล้วใจสั่น
ขอเป็นโกโก้หรือน้ำชาแทน เปิดใจให้เขารู้
เขาก็จะเข้าใจเราและกระทำต่อเราตามสิ่งที่เราต้องการได้
2. หน้าต่างที่ตนเองรู้แต่ผู้อื่นไม่รู้
เปรียบได้กับเรื่องส่วนตัวหากเราไม่เปิดเผยเรื่องนั้นก็จะเป็นความลับ
ถ้าเราไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้เรื่องส่วนตัวของเรา..ก็เก็บไว้ไม่ต้องบอกใคร
ในขณะเดียวกันเราก็ควรเคารพสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น
ไม่ควรสอดรู้สอดเห็นในเรื่องส่วนตัวที่ผู้อื่นเขาอาจต้องการให้เป็นความลับ
ก็ได้
3. หน้าต่างที่ตนเองไม่รู้แต่ผู้อื่นรู้
หมายถึงจุดบอดของตนเองซึ่งเราไม่รู้ เช่น เรามีกลิ่นตัว มีกลิ่นปาก
ตัวเราเองไม่รู้แต่คนรอบข้างเราเบือนหน้าหนี
กรณีอย่างนี้เราต้องพร้อมยอมรับฟังคำแนะนำหรือคำบอกกล่าวของผู้อื่น
เมื่อใดที่มีคนมาบอก จุดบอดของเราต้องขอบคุณคนผู้นั้น
และปรับปรุงแก้ไขตนเองลบหรือลดจุดบอดให้เหลือน้อยที่สุด
4. หน้าต่างที่ตนเองก็ไม่รู้และผู้อื่นก็ไม่รู้ หมายถึงเรื่องเร้นลับ
ซึ่งในโลกนี้ยังมีเรื่องเร้นลับอีกมากมายที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้
สิ่งสำคัญ คือ เราต้องรู้จักใช้เหตุใช้ผลในการวิเคราะห์เรื่องเร้นลับต่างๆ
อะไรที่เราเชื่อแล้วทำให้ชีวิตเดือดร้อน..วุ่นวาย..เป็นทุกข์..ให้หยุดเชื่อ
แต่ถ้าเชื่อแล้วชีวิตรุ่งเรือง..สดชื่น..มีความสุข..ไม่เดือดร้อนผู้อื่น..
ก็เชื่อไปเถอะ
หากเราไม่เปลี่ยนความคิด..ชีวิตไม่เปลี่ยน
ซึ่งเราสามารถฝึกฝนตัวเราให้เป็นผู้ไตร่ตรองในความคิดได้..โดยเริ่มต้นด้วย
การ “คิดให้เป็น” กล่าวคือ
เมื่อเริ่มต้นความคิดต้องคิดให้รอบคอบ..คิดในเชิงบวก..คิดให้สร้าง
สรรค์..และคิดเพื่อผู้อื่น..เมื่อคิดรอบคอบแล้วจึงพูด..จึงกระทำ
สูตรสำเร็จของการทำให้ชะตาชีวิตของเราประสบความสำเร็จ ก็คือ
ระวังความคิดที่ตามใจตัวเอง..เพราะฝืนใจได้..ตามใจเสีย - ลองไปถามคนอ้วนๆ
ดูสิว่าเขาฝืนใจหรือตามใจตนเอง
- ลองไปถามคนสูบบุหรี่ดูสิว่าเขาฝืนใจหรือตามใจตนเอง
- ลองไปถามคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตดูสิว่าเขาฝืนใจหรือตามใจตนเอง
เปลี่ยนความคิดของท่านให้เป็นคนที่ “คิดเป็น” เสียแต่บัดนี้..แล้วชีวิตท่านจะมีแต่ความสุข...สวัสดี"
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ขอบคุณนะค่ะ ^_^
ตอบลบอยากได้มากคับมีเล่มนึงพี่เอาไปแล้วหายเลยหายากมากๆ
ตอบลบ