หนังสือเรื่อง เงินสี่ด้าน(Rich Dad's Cashflow Quadrant) หนึ่งในหนังสือชุดพ่อรวยสอนลูก (Rich Dad Poor Dad) ที่คุณ โรเบิร์ต ที คิโยซากิ เป็นคนเขียน เป็นหนังสือที่ท่านนักธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จท่านหนึ่งแนะำนำให้ผมอ่าน ท่านบอกว่าให้อ่านหนังสือ เงินสี่ด้าน(Rich Dad's Cashflow Quadrant)ก่อนที่จะเริ่มทำธุรกิจ ท่านบอกว่าการทำธุรกิจนอกจากจะต้อง ขยัน ประหยัด อดทนแล้ว ต้องดูว่ายานพาหนะของเรา(ธุรกิจ)จะนำเราไปสู่เป้าหมายได้หรือไม่ด้วย ท่านเล่าว่าท่านเคยทำงานเป็นเจ้าของร้านซ่อมมอเตอร์ไซ ซึ่งท่านก็ไม่ดื่มสุรา ไม่เที่ยวกลางคืน และช่วงเวลานั้นท่านก็เลี้ยงดูภรรยาและลูกรักได้อย่างสบายๆ จวบจนเวลาล่วงเลยไปลูกสาวท่าน 2 คน ต้องไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยพร้อมๆกัน ในช่วง 1 ปีแรกปัญหาทางการเงินไม่เกิดกับท่าน แต่ในช่วงที่ลูกสาวอยู่ปี 3และปี 4 ค่าใช้จ่ายต่างๆนาๆถาโถมเข้ามา ท่านต้องกู้เงินมาเพื่อส่งลูกจนเรียน "แม้เหน็ดเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องส่งลูกเรียนให้จบให้ได้" เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วท่านจึงรู้ว่าการเป็นเจ้าของร้านซ่อมมอเตอร์ไซ ไม่สามารถทำให้ท่านถึงเป้าหมายได้ ท่านจึงต้องหายานพาหนะใหม่ ท่านต้องทำกิจการอันใหม่ ปัจจุบันท่านเป็นนักธุรกิจอหังสาริมทรัพย์ ท่านบอกว่าแม้จะมีหนี้เป็นร้อยล้าน แต่ไปธนาคารทีไร ผู้จัดการต้องมาเปิดประตูให้ทุกทีซินะ
เข้าเรื่องชะทีครับ ผมก็ไปหาอ่านตามคำแนะนำของผู้ที่ประสบผลสำเร็จแล้ว ผมอ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูกชุดเงินสี่ด้านจบแล้ว จบนานแล้วด้วยครับ แต่วันนี้ผมเกิดอาการ อาการคันปากอยากเล่าให้เพื่อนๆฟังสักเล็กน้อยเพื่อเป็นแนวทางที่จะทาให้เพื่อนๆสามารถสร้างธุรกิจได้อย่างสง่างามและมั่นคง
โรเบิร์ต ที คิโยซากิได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับการสร้างธุรกิจได้อย่างน่าสนใจ มีคนติดตามเรื่องราวของเขาอยู่ทั่วโลก เกี่ยวกับหนังสือที่เขาได้เขียนออกมา แล้วเขาก็สามารถตีแผ่เรื่องจริงในมุมมองที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย กับแนวความคิดในการสร้างธุรกิจ แต่ในส่วนนี้ผมขอหยิบยกเรื่องของเงินสี่ด้านเท่านั้นนะครับเพราะเล่มอื่นผมยังไม่อ่าน
ตารางเงินสี่ด้าน |
จากตารางที่คุณได้เห็นนี้ คุณโรเบิร์ต คิโยซากิ ได้แบ่งคนที่ประกอบสัมมาอาชีพอย่างสุจริต ออกเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งซ้ายสีแดงซึ่งหมายถึง ลูกจ้างและเจ้าของธุรกิจส่วนตัว ส่วนฝั่งขวาสีน้าเงินหมายถึงเจ้าของธุรกิจและนักลงทุน คุณโรเบิร์ต คิโยซากิ ได้กล่าวเอาไว้อย่างน่าฟังว่า การเคลื่อนตำแหน่งของแต่ละช่องจะใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปี อย่างเช่นจาก E ลูกจ้างจะย้ายมาเป็น S เจ้าของธุรกิจส่วนตัว ซึ่งในที่นี้ก็หมายถึงหมอที่เปิดคลินิก เจ้าของร้านอาหาร เจ้าของร้านขายของ หรือโรงงานต่างๆที่ประกอบธุรกิจส่วนตัวเป็นต้น ซึ่งกว่าจะก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ ก็ต้องเก็บสะสมเงินทุนเรียนรู้หาประสบการณ์อย่างน้อย 10ปี ซึ่งในตาแหน่ง S นี้เองที่ใครหลายต่อหลายคนใฝ่ฝันถึงและพยายามจะสร้างมันขึ้นมา ทีนีเราก็จะมองเห็นภาพที่กว้างขึ้นเพื่อการต่อยอดทางธุรกิจ อีกทั้งสามารถเข้าใจวงจรของธุรกิจต่างๆในภาพกว้างๆด้วย ทั้งนี้เพื่อความเป็นอิสรภาพทางด้านการเงินและเวลาจริงๆ ส่วนตำแหน่งที่ทุกคนใฝ่ฝันเอาไว้สูงสุดที่จะมีอิสรภาพทางด้านการเงินจริงๆก็คือฝั่งสีน้าเงิน ซึ่งก็หมายถึง B เจ้าของธุรกิจ ได้แก่เจ้าของแฟร์นไชน์ต่างๆ เช่น 7-11 , KFC ไก่ย่าง 5 ดาว เป็นต้น และ I ก็หมายถึงนักลงทุนที่ใช้เงินทำงานแทนตัวเอง หรือใช้เงินต่อเงินนั่นเอง จาก E สามารถก้าวข้ามมาเป็น S ได้ แต่จาก S จะก้าวข้ามาเป็น B นั้น อาจจะต้องใช้ความสามารถมากเป็นพิเศษหน่อย แต่ถ้าจาก S จะก้าวข้ามาเป็น I นั้นก็มีความเป็นไปได้ อันที่จริงแล้วการย้ายจากฝั่งซ้ายมาขวานั้น ถ้าเรียนรู้อย่างถูกวิธี กับแนวคิดที่ถูกทาง มันก็ไม่ไกลเกินเอื้อมถ้าคุณจะทำมัน
เพื่อความเข้าใจกับตารางนี้เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้คุณสามารถเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งระหว่างคนทั้ง 2 ฝั่ง ลองถามตัวเองอย่างจริงใจว่า คุณต้องการยืนอยู่ฝั่งไหน เพราะนี่จะเป็นเหตุผลที่จะช่วยในการตัดสินใจได้อย่างมั่นคงกับการสร้างธุรกิจ
เลือกว่าจะอยู่ซ้ายหรือขวาครับ |
เลือกว่าจะอยู่ฝั่นไหนของเงินสี่ด้านครับ |
คนเราทุกคนเลือกยืนอยู่บนด้านใดด้านหนึ่งของ “เงินสี่ด้าน”ขึ้นอยู่กับว่ารายได้ของคุณมาจากอะไร เรื่องเกี่ยวกับกลุ่มคนสี่ประเภทที่อยู่ในโลกของธุรกิจและมีอุปนิสัยที่แตกต่างกัน การสร้างรายได้ของคนทั้งสี่ประเภท E (Employee) มีรายได้จากเงินเดือน S (Self - employed) มีรายได้จากธุรกิจของตนเอง B (Business Owner) มีรายได้จากกิจการที่คุณเป็นเจ้าของ I (Investor) มีรายได้จากการลงทุนต่างๆ
แต่ละคนที่ทางานสามารถที่จะอยู่ได้ในทุกด้านไม่ใช่ด้านใดด้านหนึ่ง และคุณสามารถที่จะหาเงินได้จากเงินทั้งสี่ด้าน การสร้างรายได้โดยวิธีใดก็ตามจากเงินสี่ด้านนี้ ตัวกาหนดของมันคือ ความคิดและความสนใจ ความแตกต่างของเงินสี่ด้านอาจกล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า การกระทาไม่สาคัญเท่าความคิดไม่มีด้านใดที่ดีกว่ากันเพราะแต่ละด้านมีจุดอ่อนจุดแข็งที่แตกต่างกัน
“เงินสี่ด้านคนสี่ประเภท” มีความแตกต่างกันอย่างไร ลูกจ้าง E (Employee) : งานมั่นคง เงินเดือนดี พร้อมผลตอบแทน คนท้าธุรกิจส่วนตัว S (Self - employed) : หาคนดีเหมาะกับงานยากจริงๆ และคนกลุ่มนี้ไม่ชอบจ้างผู้ร่วมงานหรือสอนงานให้คนอื่น เพราะว่ากลัวจะกลายเป็นคู่แข่งในวันข้างหน้า เจ้าของกิจการ B (Business Owner) : ผมกาลังมองหาคนมาร่วมงาน หาคนเก่งที่มีความสามารถมาร่วมงานและชอบแจกจ่ายงานให้ทีมงาน นักลงทุน I (Investor) : คนกลุ่มนี้ไม่ทางานเพื่อเงินแต่ใช้เงินทางานแทน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น